ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯเกิน 200,000 คน ในวันอังคาร (23 ก.ย.) และยังคงรักษาตำแหน่งประเทศซึ่งมีจำนวนคนตายและจำนวนคนติดเชื้อสูงที่สุดในโลกเอาไว้ 6 เดือน ก่อนหน้าการเลือกตั้ง ซึ่งเห็นกันว่าส่วนหนึ่งคือการลงประชามติของผู้ออกเสียงชาวอเมริกันต่อผลงานในการรับมือวิกฤตครั้งนี้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
“เป็นเรื่องไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสิ้นเชิงสำหรับการที่เราต้องมาถึงจุดนี้” เป็นคำกล่าวของ เจฟนิเฟอร์ นุซโซ นักวิจัยด้านสาธารณสุขคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์, สหรัฐฯ 8 เดือนหลังจากไวรัสมรณะนี้แรกคืบคลานมาถึงชาติซึ่งร่ำรวยที่สุดในโลก พรั่งพร้อมด้วยห้องแล็บเลิศล้ำทันสมัย, นักวิทยาศาสตร์ระดับสุดยอดของวงการ และซัปพลายทางการแพทย์อันอุดมสมบูรณ์
จำนวนผู้เสียชีวิตนี้เท่ากับจะต้องเกิดการโจมตี 9/11 สุดสยดสยอง กันทุกๆ วันเป็นเวลา 67 วัน
ตัวเลขนี้ยังคงกำลังไต่สูงขึ้นไปอีก แนวโน้มขณะนี้คือมีผู้เสียชีวิตเกือบๆ 770 คนโดยเฉลี่ย และแบบจำลองซึ่งได้รับการอ้างอิงกันอย่างกว้างขวางจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันทำนายเอาไว้ว่า จำนวนคนตายจากโรคร้ายนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 400,000 คนภายในสิ้นปีนี้ หากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ เปิดการเรียนการสอนกันใหม่ ขณะอากาศหนาวเย็นย่างกรายเข้ามา สำหรับวัคซีนป้องกันนั้นไม่น่าที่จะมีใช้แพร่หลายกันจนกว่าจะถึงปีหน้า
“เมื่อคิดว่ามีคนตายไป 200,000 คน มันทำให้เรารู้สึกว่าต้องเงียบต้องตั้งสติกันจริงๆ ในบางแง่มุมมันทำให้รู้สึกตะลึงงัน” นพ.แอนโธนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อระดับท็อปของรัฐบาลสหรัฐฯกล่าวกับโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็น
ขณะที่ ประธานาธิบดี ทรัมป์ บอกว่า เป็นเรื่อง “น่าอับอาย” ที่สหรัฐฯขึ้นไปถึงตัวเลขนี้ แต่เขาโต้แย้งว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจเลวร้ายกว่านี้นักหนา
“ผมคิดว่าถ้าเราไม่ได้ทำอะไรอย่างเหมาะสมและทำอะไรอย่างถูกต้องแล้ว คุณก็ได้เห็นคนตาย 2.5 ล้านทีเดียว” ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวก่อนออกเดินทางไปปราศัยหาเสียงที่เมืองพิตสเบิร์ก เขาเสริมด้วยว่า สหรัฐฯเวลานี้ “กำลังทำได้ดี” และ “ตลาดหุ้นก็สูงขึ้น”
เขายังกล่าวย้ำโจมตีจีนว่าเป็นตัวการของโรคระบาดนี้ ในคำปราศรัยต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติซึ่งบันทึกเอาไว้ล่วงหน้า ทรัมป์เรียกร้องว่าปักกิ่งจะต้องรับผิด สำหรับ “การปล่อยโรคมรณะนี้เข้าสู่โลก” ซึ่งเอกอัครราชทูตจีนประจำยูเอ็น ได้ตอบโต้ปฏิเสธว่าข้อกล่าวหานี้โกหกไม่มีมูลความจริง
ทางด้าน โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต ทวีตว่า “มันไม่ควรจะต้องเลวร้ายถึงขนาดนี้”
“มันเป็นตัวเลขที่ชวนให้รู้สึกงงงวยและยากที่จะตั้งสติให้มั่นคงได้” เขาทวีตต่อ “โรคระบาดนี้คร่าชีวิตมนุษย์ไปอย่างวิบัติหายนะ และเราไม่สามารถลืมเรื่องนี้ได้”
เป็นเวลา 5 เดือนแล้ว ที่อเมริกานำหน้าชาติอื่นๆ ในโลกในเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อ โดยอยู่ในระดับเกือบๆ 6.9 ล้านคน เมื่อวันอังคาร และในเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิต สหรัฐฯนั้นมีประชากรไม่ถึง 5% ของประชากรทั่วโลก แต่เสียชีวิตไปมากกว่า 20% ของจำนวนคนตายที่มีรายงานกัน
บราซิลอยู่ในอันดับ 2 ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตราว 137,000 คน ติดตามมาด้วยอินเดียที่ประมาณ 89,000 คน และเม็กซิโกราวๆ 74,000 คน มีเพียง 5 ประเทศ คือ เปรู, โบลิเวีย, ชิลี, สเปน, และ บราซิล ซึ่งมีตัวเลขอัตราส่วนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ต่อจำนวนประชากรสูงกว่าอเมริกา
ในวันอังคาร โทนี เอเวอร์ส ผู้ว่าการรัฐวิสคอนซิน ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขรอบใหม่ และขยายเวลาบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากจนถึงเดือนพฤศจิกายน หลังจากวิสคอนซินเป็นหนึ่งในรัฐที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงสุดในสหรัฐฯในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และยังเป็นรัฐที่มีการตรวจหาผู้ติดเชื้อสูงสุดอันดับ 2
เอเวอร์สแจงว่า การสังสรรค์เป็นสาเหตุให้จำนวนผู้ติดเชื้อในวิสคอนซินในหมู่หนุ่มสาวอายุ 18-24 ปี พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมขอให้นักศึกษางดเว้นการเที่ยวผับบาร์และต้องสวมหน้ากาก
ทั้งนี้ คำสั่งบังคับให้สวมหน้ากากเป็นส่วนหนึ่งของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขครั้งที่ 2 เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมและเพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์
สำหรับทั่วโลก ตามข้อมูลของสำนักข่าวเอเอฟพี ขณะนี้ ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อกว่า 31 ล้านคน และเสียชีวิตเกือบ 926,000 คน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ (21) องค์การอนามัยโลก (ฮู) เผยว่า เฉพาะสัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 20 กันยายน ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านคน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับจากไวรัสนี้เริ่มระบาด
อังกฤษเตือนล็อกดาวน์รอบใหม่อาจนานถึง 6 เดือน
ที่อังกฤษ นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ประกาศมาตรการจำกัดเพื่อหยุดยั้งไวรัสโคโรนาที่กลับมาระบาดรุนแรงรอบใหม่ โดยขอให้ประชาชนทำงานอยู่ที่บ้านถ้าเป็นไปได้ ปิดผับบาร์และบริการต้อนรับอื่นๆ ตั้งแต่วันพฤหัสฯ (24) และเตรียมระงับแผนการอนุญาตให้ผู้ชมเข้าชมการแข่งขันกีฬาในสนาม
จอห์นสันยังเตือนว่า อาจบังคับใช้มาตรการจำกัดใหม่นี้นาน 6 เดือน และเรียกร้องให้ประชาชนพยายามร่วมกัน “เพื่อผ่านฤดูหนาวนี้ไปให้ได้”
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันนี้ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล เตือนว่า สหราชอาณาจักรอาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละ 50,000 คน ในช่วงกลางเดือนหน้า หากรัฐบาลยังนิ่งเฉย
ในส่วนของฝรั่งเศสยกระดับกฎจำกัดการรวมตัวทำกิจกรรมในที่สาธารณะ และกิจกรรมส่วนตัวในพื้นที่ที่มีการระบาดมากที่สุด โดยกระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อใหม่ 10,008 คน ในวันอังคาร รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 468,069 คน และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 78 คน เทียบกับสถิติเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันที่ผ่านมา ที่อยู่ที่ 60 คน รวมยอดผู้เสียชีวิต 31,416 คน
ที่สเปน ซึ่งผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์แบบเข้มข้นมานานหลายเดือน รัฐมนตรีสาธารณสุขเรียกร้องเมื่อวันอังคารให้ประชาชนในกรุงมาดริดจำกัดการเดินทางและการติดต่อทางสังคมเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น โดยขณะนี้มีประชาชนราว 850,000 คนในบางพื้นที่ของเมืองหลวงของสเปนแห่งนี้อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์
ขณะเดียวกัน กิจกรรมขนาดใหญ่นับร้อยกิจกรรมทั่วยุโรปถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป เช่น งานประกาศผลรางวัลโนเบลในปีนี้ที่สตอกโฮล์ม เมืองหลวงของสวีเดน ซึ่งจะเป็นครั้งแรกนับจากปี 1944 ที่ไม่มีพิธีการตามปกติและจะถ่ายทอดสดทางทีวี เช่นเดียวกับการประกาศรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่นอร์เวย์ในเดือนธันวาคมที่จะเลื่อนออกไปก่อน
(ที่มา: เอพี, เอเจนซีส์)