“ทรัมป์”ยังคงย้ำว่าอเมริกาน่าจะมีวัคซีนป้องกันใช้ได้ภายในเดือนหน้า แถมบอกว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เองจะหายไปเอง ขณะที่ไฟเซอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของวัคซีนตัวหนึ่งที่กำลังได้รับการทดสอบในขั้นสุดท้าย เผยว่าอาสาสมัครหลายรายมีอาการข้างเคียงตั้งแต่ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้รับการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัย สำหรับยอดผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในอินเดียปรากฏว่าทะลุ 5 ล้านคนแล้ว โดยที่ 1 ล้านล่าสุดเกิดขึ้นภายใน 11 วันเท่านั้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในรายการพบผู้มีสิทธิ์ออกเสียงในรัฐเพนซิลเวเนีย ออกอากาศทางเครือข่ายโทรทัศน์เอบีซีเมื่อวันอังคาร (15 ก.ย.) ว่า อเมริกาน่าจะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใช้ภายใน 3-4 สัปดาห์ ทว่า ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น เขาให้สัมภาษณ์ทีวีฟ็อกซ์ นิวส์ โดยระบุกรอบเวลาเป็น 4-8 สัปดาห์
ด้านพรรคเดโมแครตฝ่ายค้านแสดงความกังวลว่า ทรัมป์กำลังพยายามกดดันหน่วยงานพิจารณารับรองและพวกนักวิจัย เพื่อให้มีการอนุมัติใช้วัคซีนให้ทันเวลาที่จะช่วยให้ตัวเองชนะการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนซึ่งรวมถึงแอนโทนี ฟาวซี แพทย์ด้านโรคติดเชื้อในทีมเฉพาะกิจปราบโควิดของคณะบริหาร ระบุว่า มีแนวโน้มว่า การอนุมัติวัคซีนจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้
ทรัมป์ยังปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ดูเบาอันตรายของโควิดที่ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตแล้วเกือบ 200,000 คน และการกระทำที่ผ่านมายังเน้นย้ำอันตรายของวิกฤตโรคระบาดนี้ด้วยซ้ำ
ทว่า ในเทปสัมภาษณ์ของบ็อบ วูดเวิร์ด นักข่าวรุ่นใหญ่ ที่ถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มใหม่ “Rage” ที่วางแผงเมื่อวันอังคาร ทรัมป์บอกว่า เขาจงใจ “ดูเบา” อันตรายของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวอเมริกันตื่นกลัว
ทรัมป์ยังย้ำกับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงในรัฐเพนซิลเวเนียว่า ไวรัสจะหายไปเองจากพฤติกรรมที่คนเรามักทำตามคนส่วนใหญ่ (herd mentality) ซึ่งน่าจะเป็นการพูดผิดและหมายถึงภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) มากกว่า
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้ที่น้อยครั้งมากจะเห็นสวมหน้ากากในที่สาธารณะ ยังบอกว่า คนจำนวนมากไม่ชอบสวมหน้ากากและไม่คิดว่าหน้ากากมีประโยชน์ และสำทับว่า แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่างฟาวซียังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเกี่ยวกับแนวทางการสวมหน้ากากและการเว้นระยะห่างทางสังคม
อย่างไรก็ดี ผลสำรวจล่าสุดของเอ็นบีซี นิวส์/เซอร์เวย์มังกี วีกลี่ แทร็กกิงที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารพบว่า คนวัยผู้ใหญ่ 52% ไม่ไว้ใจคำประกาศของทรัมป์เกี่ยวกับวัคซีนที่กำลังจะออกมา และมีแค่ 26% ที่ไว้ใจ
วันเดียวกัน ไฟเซอร์ หนึ่งในบริษัทยาชั้นนำที่อยู่ระหว่างการทดสอบวัคซีนต่อต้านไวรัสโคโรนาขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นการทดลองในคนกลุ่มใหญ่โดยที่จะมีบางคนได้วัคซีนจริงและบางคนได้รับวัคซีนปลอม เปิดเผยว่า มีอาสาสมัครหลายคนทั้งผู้ที่ได้รับวัคซีนจริงและวัคซีนปลอม แสดงอาการข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง
ผลข้างเคียงที่ว่ารวมถึงอาการเหน็ดเหนื่อย ปวดศีรษะ สั่น ปวดกล้ามเนื้อ และอาสาสมัครบางคนมีไข้ ในจำนวนนี้บางคนไข้สูงเล็กน้อย
แคทริน แจนเซน หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาวัคซีนของไฟเซอร์เผยว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลอิสระได้รับข้อมูลเช่นเดียวกับบริษัท ซึ่งไม่มีการระบุว่า อาสาสมัครคนไหนได้วัคซีนจริงหรือวัคซีนปลอม เพื่อจะแจ้งเตือนหากพบข้อกังวลด้านความปลอดภัย ทว่า จนถึงขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับคำเตือนแต่อย่างใด
ปัจจุบัน ไฟเซอร์ทำการทดสอบวัคซีนที่พัฒนาร่วมกับไบโอเอ็นเทคของเยอรมนี กับอาสาสมัครกว่า 29,000 คน จากเป้าหมายที่ต้องการคือ 44,000 คน และมีอาสาสมัครกว่า 12,000 คนได้วัคซีนโดสที่ 2 แล้ว
ไฟเซอร์คาดว่า ผลการทดสอบจะออกมาในเดือนหน้า และเชื่อว่า วัคซีนของบริษัทมีแนวโน้มได้ผลเกิน 60%
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 ที่ผ่านมา แอสตราเซเนกาก็ได้ประกาศระงับการทดสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลก หลังพบอาการข้างเคียงรุนแรงกับอาสาสมัคร 1 คนในอังกฤษ อย่างไรก็ดี เมื่อวันจันทร์ (14) บริษัทเริ่มทำการทดสอบในอังกฤษและบราซิลต่อหลังได้รับไฟเขียวจากผู้คุมกฎของอังกฤษ แต่ยังระงับการทดสอบในอเมริกา
สำหรับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนานั้น ข้อมูลล่าสุดระบุว่า มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกใกล้ถึง 30 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 930,000 คน
อินเดีย ประเทศที่มีประชากร 1,300 ล้านคน รายงานเมื่อวันพุธ (16) ว่า มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 5.02 ล้านคน เป็นรองแค่อเมริกา 6.59 ล้านคน
ทั้งนี้ ตัวเลข 1 ล้านล่าสุดของอินเดียเกิดขึ้นในเวลาเพียง 11 วันเท่านั้น เทียบกับ 1 ล้านแรกที่ใช้เวลา 167 วัน และ 21 วันสำหรับล้านที่ 2 ซึ่งถือว่า เร็วกว่าอเมริกาและบราซิล
เพียง 29 วันหลังจากนั้น อินเดียขึ้นเป็นประเทศที่ 3 ที่มีผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 4 ล้านคน โดยสองประเทศแรกคืออเมริกาและบราซิล และต้นเดือนนี้แดนภารตะแซงบราซิลสำเร็จกลายเป็นประเทศที่ 2 ที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก