เอเจนซีส์ – ตำรวจอเมริกันก่อเรื่องฉาวอีก คราวนี้ยิงเด็กชายป่วยเป็นออทิสติกที่เมืองซอลต์เลคซิตี้จนบาดเจ็บสาหัส หลังแม่ของเด็กวัย 13 ผู้นี้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือเนื่องจากเขาตะโกนโวยวายเพราะรู้สึกไม่พอใจ ขณะที่กรณีการเสียชีวิตของชายผิวดำผู้ป่วยเป็นโรคจิตภายหลังถูกตำรวจเมืองโรเชสเตอร์ใช้ถุงคลุมศีรษะและจับกดพื้น ก็บานปลายทำให้ผู้บังคับการและรองผู้บัญชาการต้องยื่นใบลาออก
โรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก เมืองที่มีประชากร 200,000 คน เกิดการประท้วงตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากครอบครัวของแดเนียล พรูด ชายผิวดำวัย 41 ปีซึ่งมีอาการป่วยทางจิต ได้เผยแพร่คลิปจากกล้องติดตามตัวตำรวจ แสดงให้เห็นตำรวจตามจับพรูดที่วิ่งแก้ผ้ากลางถนน แล้วใช้ถุงป้องกันการถ่มน้ำลายคลุมศีรษะของเขา และจับกดพื้นจนหมดสติแล้วไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม แต่ครอบครัวเพิ่งได้รับคลิปหลังยื่นคำร้องขอให้มีการเปิดเผยข้อมูล
คลิปดังกล่าวทำให้เกิดคำถามว่า สำนักงานตำรวจโรเชสเตอร์พยายามปกปิดคดีนี้หรือไม่ และยังทำให้เมืองนี้กลายเป็นจุดร้อนแห่งใหม่ในการประท้วงต่อต้านความอยุติธรรมด้านเชื้อชาติสีผิวและการใช้ความรุนแรงของตำรวจ หลังจากกระแสนี้ถูกจุดชนวนขึ้นและลุกลามทั่วสหรัฐฯจากการตายของจอร์จ ฟลอยด์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม เนื่องจากถูกตำรวจผิวขาวในเมืองมินนิอาโปลิสใช้เข่ากดทับคอจนขาดอากาศหายใจ
ตำรวจ 7 คนที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมพรูดถูกพักงานตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และผลการชันสูตรศพระบุว่า พรูดถูกฆาตกรรมจากการทำให้ขาดอากาศหายใจ โดยที่การมีสารเฟนไซคลิดีนหรือพีซีพีอยู่ในร่างกายของเขาเป็นปัจจัยเสริมด้วย
พวกนักเคลื่อนไหวกลุ่มแบล็ก ไลฟ์ส แมตเทอร์ เรียกร้องให้ลารอน ซิงเกิลทารี ผู้บังคับการตำรวจเมืองโรเชสเตอร์ลาออก แต่จนถึงวันอาทิตย์ (6) เขายืนกรานจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยที่นายกเทศมนตรีหญิงของเมือง เลิฟลี วอร์เรน ก็ให้การสนับสนุน ทั้งนี้ ทั้งผู้บังคับการตำรวจและนายกเทศมนตรีต่างเป็นคนผิวดำทั้งคู่
อย่างไรก็ดี วันอังคาร ซิงเกิลทารีแถลงลาออกโดยระบุว่า เขาจะไม่ยอมนิ่งเฉยปล่อยให้สังคมภายนอกทำลายชื่อเสียงของเขา และตัวเขาต้องตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง สืบเนื่องจากคำพูดคำจาต่างๆ อันไม่เป็นความจริงเลย เกี่ยวกับการกระทำของตนเองหลังได้รับแจ้งเรื่องการเสียชีวิตของพรูด
ด้านวอร์เรนที่ถูกกดดันอย่างหนักยังเปิดเผยว่า โจเซฟ มอราบิโต ขอลาออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจโรเชสเตอร์เช่นเดียวกัน และอาจมีเจ้าหน้าที่อีกหลายคนตัดสินใจลาออก
วอร์เรน แถลงในการประชุมสภาเมืองเมื่อวันอังคาร (8) ว่า ตนไม่ได้ขอให้ลารอน ซิงเกิลทารี ลาออก แม้เพิ่งได้รับข้อมูลบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ตาม กระนั้น วอร์เรนไม่ได้เปิดเผยว่า ข้อมูลดังกล่าวคืออะไร
กลุ่มแบล็ก ไลฟ์ แมตเทอร์ในโรเชสเตอร์ยินดีกับการลาออกของตำรวจทั้งคู่ แต่ต้องการให้ผู้ที่มีส่วนรู้เห็นและช่วยปิดบังการฆาตกรรมพรูดทั้งหมด ซึ่งรวมถึงวอร์เรน ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบและบริจาคบำนาญให้ครอบครัวเหยื่อความอยุติธรรมของตำรวจ
สัปดาห์ที่แล้ว วอร์เรนแถลงขอโทษครอบครัวพรูด และกล่าวเป็นนัยว่า ซิงเกิลทารีทำให้เธอเข้าใจผิด ทว่า ผู้บังคับการตำรวจโรเชสเตอร์ปฏิเสธคำกล่าวหาดังกล่าว ทั้งยังยืนยันว่า สั่งให้มีการสอบสวนภายในทันทีหลังได้รับแจ้งเรื่องการตายของพรูด
ทว่า สัปดาห์ที่แล้วเช่นเดียวกัน ไมเคิล แมซซิโอ ผู้นำสหภาพตำรวจโรเชสเตอร์ ยืนยันว่า ตำรวจปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีการและจำเป็นต้องใช้ถุงป้องกันการถ่มน้ำลายครอบศีรษะพรูด เนื่องจากเขาตะโกนว่า ตัวเองติดโควิด-19 แมซซิโอยังบอกว่า เขาได้รับแจ้งจากสำนักงานของซิงเกิลทารีภายหลังการจับกุมพรูดว่า “ไม่มีข้อกังวลใดๆ” เกี่ยวกับการดำเนินการของตำรวจเหล่านั้น
กรณีการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจอเมริกัน ยังกลายเป็นข่าวฉาวอีกครั้ง เมื่อโกลดา บาร์ตัน เปิดเผยกับสถานีทีวีท้องถิ่นในซอลต์เลคซิตี้ รัฐยูทาห์ ว่า ลินเดน คาเมรอน ลูกชายออทิสติกวัย 13 ปีของเธอ ถูกตำรวจยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากบาร์ตันโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจาก 911 ให้พาคาเมรอนไปโรงพยาบาล เนื่องจากลูกชายของเธอโกรธและตะโกนกรีดร้องตอนที่เธอต้องกลับไปทำงานครั้งแรกในรอบระยะเวลาเกือบปี
บาร์ตันยืนยันว่า บอกตำรวจว่า คาเมรอนไม่มีอาวุธ แต่กรีดร้องเพราะอาการผิดปกติทางจิตและพยายามเรียกร้องความสนใจ ทว่า ทันทีที่ลูกชายของเธอวิ่งหนี ตำรวจนายหนึ่งกลับชักปืนยิงและกระสุนเจาะเข้าที่ไหล่ ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ และข้อเท้าของคาเมรอน
เคธ ฮอร์ร็อกส์ โฆษกสำนักงานตำรวจซอลต์เลคซิตี้ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ตำรวจนายนั้นสงสัยว่า เด็กชายวัยรุ่นมีอาวุธ แต่ยอมรับว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่พบอาวุธแต่อย่างใด
แม้คาเมรอนเป็นเด็กชายผิวขาว แต่เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งในหมู่ตัวแทนผู้ทุพพลภาพในท้องถิ่น โดยนิวโรไดเวิร์ส ยูทาห์ออกคำแถลงประณามว่า ประชาชนร้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจ แต่กลายเป็นว่า ตำรวจกลับทำให้เกิดอันตรายต่อประชาชนเสียเอง