เอเจนซีส์ - กองเชียร์ทรัมป์ปะทะกับนักเคลื่อนไหวกลุ่มแบล็ก ไลฟ์ส แมตเทอร์ ในเมืองเซเลม รัฐออริกอน เมื่อวันจันทร์ (7 ก.ย.) จนตำรวจต้องเข้าแยกและจับกุมผู้กระทำผิดสองคน ขณะที่บรรยากาศการหาเสียงดุเดือดไม่แพ้กัน โดยทรัมป์วิจารณ์ไบเดนว่า “โง่” และผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ตอกกลับว่า ประมุขทำเนียบขาวไร้ “กึ๋น” รับมือโรคระบาด
พวกผู้สนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กว่า 100 คน โดยมีบางคนพกอาวุธ แล้วยังมีขบวนรถของสมาชิกกลุ่มขวาจัด “พราวด์บอยส์” ที่เป็นผู้ชายทั้งหมด เดินทางถึงเซเลม เมืองหลวงของรัฐออริกอน เมื่อบ่ายวันจันทร์ และได้เผชิญหน้ากับผู้ประท้วงกลุ่มแบล็ก ไลฟ์ แมตเทอร์ ซึ่งมีอยู่ราว 20 คน
ทั้งสองกลุ่มฉีดสเปรย์พริกไทยใส่กัน ในผู้สนับสนุนทรัมป์อย่างน้อยหนึ่งคนใช้ไม้เบสบอลตีผู้ประท้วงกลุ่มแบล็ก ไลฟ์ส แมตเทอร์คนหนึ่ง และในภายหลังตำรวจรัฐออริกอนกว่า 20 นาย ที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ ได่เข้าจับกุมชายสองคนที่ต่อยผู้ประท้วงกลุ่มแบล็ก ไลฟ์ส แมตเทอร์
วันจันทร์ (7) นับเป็นวันที่ 102 ของการประท้วงในเมืองพอร์ตแลนด์ ที่อยู่ใกล้กับเมืองเซเลม โดยการประท้วงที่นั่นหลายต่อหลายครั้งลุกลามเป็นความรุนแรง จากการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ประท้วง ซึ่งต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและการใช้กำลังของตำรวจ กับตำรวจและกลุ่มฝ่ายขวาซึ่งเป็นพวกผู้สนับสนุนทรัมป์
เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ทั่วอเมริกา การประท้วงในพอร์ตแลนด์ปะทุขึ้น ภายหลังการตายของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่ถูกตำรวจผิวขาวในมินนิอาโปลิสใช้เข่ากดทับคอจนขาดอากาศหายใจ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม
สถานการณ์ในพอร์ตแลนด์ตึงเครียดมากขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการปะทะระหว่างกลุ่มที่ชื่อ “แพทริออต เพรเยอร์” ซึ่งเป็นพวกสนับสนุนทรัมป์และสนับสนุนการครอบครองอาวุธ กับกลุ่มปีกซ้ายที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มผู้ประท้วง “ต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์” จนเป็นเหตุทำให้ แอรอน แดเนียลสัน ผู้ประท้วงฝ่ายขวาวัย 39 ปี ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ต่อมา ไมเคิล ไรเนล ผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ดังกล่าว ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต โดยตำรวจระบุว่าเขาพยายามหลบหนี
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (4) กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯแถลงว่า ไรเนลเชื่อมโยงกับขบวนการฝ่ายซ้าย “แอนติฟา” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงผู้ประท้วงในพอร์ตแลนด์กับกลุ่มปีกซ้ายนี้
ทั้งนี้ แอนติฟาเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ ที่ไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ และผู้สนับสนุนมีเป้าหมายในการเผชิญหน้ากับพวกที่ตนเองเห็นว่า เป็นเผด็จการหรือเหยียดเชื้อชาติ
คืนวันเสาร์ (5) ซึ่งครบ 100 วันของการประท้วง ตำรวจพอร์ตแลนด์จับกุมประชาชนกว่า 50 คน และใช้แก๊สน้ำตาสลายผู้ประท้วงที่ขว้างระเบิดเพลิงใส่เจ้าหน้าที่
ทรัมป์ที่กำลังชูภารกิจการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ระบุว่า พอร์ตแลนด์ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่พรรคเดโมแครตควบคุมเป็น “เขตอำนาจอนาธิปไตย”
วันจันทร์ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงหยุดวันแรงงานของอเมริกา แต่ทรัมป์ก็จัดแถลงข่าวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยที่ทำเนียบขาว โดยย้ำความเป็นไปได้ในการแจกจ่ายวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาก่อนวันเลือกตั้ง แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคิดว่าไม่มีแนวโน้มเป็นไปได้ ทรัมป์ยังกล่าวหาศัตรูว่า เอาเรื่องวัคซีนมาเป็นประเด็นทางการเมือง หลังจาก คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี คู่กับโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต บอกว่า ไม่เชื่อว่า วัคซีนดังกล่าวปลอดภัยอย่างที่ทรัมป์อวดอ้าง
นอกจากคุยโอ่เรื่องการจ้างงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว ทรัมป์ยังวิจารณ์ไบเดนว่า “โง่” ต้องการให้ประเทศพ่ายแพ้ต่อไวรัส ม็อบฝ่ายซ้ายที่ใช้ความรุนแรง และยังคิดยกตำแหน่งงานต่างๆ ให้จีน
ทางด้านไบเดนที่เดินทางไปหาเสียงที่เพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐที่มีคะแนนเสียงแกว่งไปแกว่งมานั้น ตอบโต้ว่า ทรัมป์ไม่มีความสามารถในการจัดการกับโควิด-19 และไม่ใช่คนอเมริกันอย่างแท้จริง ซึ่งประเด็นหลังเป็นการตอกย้ำกรณีที่ทรัมป์ถูกนิตยสาร ดิ แอตแลนติก แฉว่า ดูหมิ่นกองทัพและทหารที่เสียชีวิตในสนามรบว่า เป็นพวก “ขี้แพ้” และ “โง่เง่า”
แม้ทรัมป์ยืนกรานปฏิเสธว่า รายงานดังกล่าวเป็นข่าวปลอม แต่ดูเหมือนคนจะไม่เชื่อและพากันไม่พอใจมาก โดยโพลล่าสุดบ่งชี้ว่า เขาได้คะแนนตามหลังไบเดนในหมู่ทหารในประจำการ ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นผู้คนทั่วไปยังพบว่า ไบเดนยังคงมีคะแนนทิ้งห่างทรัมป์