xs
xsm
sm
md
lg

ออสเตรเลียทุ่ม 3.8 หมื่นล้าน สั่งซื้อวัคซีน ‘โควิด-19’ แจกฟรี 85 ล้านโดส

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รัฐบาลออสเตรเลีย เตรียมทุ่มเม็ดเงินกว่า 38,000 ล้านบาท สั่งซื้อวัคซีนต้านเชื้อโควิด-19 จำนวน 85 ล้านโดส โดยคาดว่าจะได้รับวัคซีนล็อตแรก 3.8 ล้านโดส ภายในเดือน ม.ค. ปีหน้า ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ในพื้นที่ศูนย์กลางการระบาดแดนจิงโจ้ลดแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 สัปดาห์

นายกรัฐมนตรี สก็อตต์ มอร์ริสัน แห่งออสเตรเลีย ระบุว่า รัฐบาลของเขาได้ทำข้อตกลงร่วมกับบริษัท CSL เพื่อผลิตวัคซีน 2 ชนิด โดยชนิดแรกเป็นวัคซีนที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ส่วนชนิดที่สองเป็นวัคซีนที่ CSL ร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์

“ออสเตรเลียต้องมีความหวัง วันนี้เราได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อปกป้องสุขภาพของชาวออสเตรเลียจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19” มอร์ริสัน ให้สัมภาษณ์สื่อที่กรุงแคนเบอร์รา

เกร็ก ฮันต์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขออสซี่ แถลงว่า นักวิทยาศาสตร์ซึ่งมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีนทั้ง 2 ชนิด พบหลักฐานเบื้องต้นที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในการ “ป้องกันเชื้อไวรัสได้นานหลายปี”

วัคซีน AZD1222 ของแอสตราเซเนกา ซึ่งเป็นหนึ่งในวัคซีนแถวหน้าของโลกที่คาดว่าจะให้ผลป้องกันโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกขั้นสุดท้ายในอังกฤษ, บราซิล และแอฟริกา แต่ นายกฯ มอร์ริสัน คาดว่า CSL จะสามารถลงมือผลิตและจัดส่งวัคซีนจำนวน 3.8 ล้านโดส ให้แก่รัฐบาลออสเตรเลียได้ในช่วงเดือน ม.ค.- ก.พ. ปีหน้า

สำหรับวัคซีนของ CSL เองนั้น จะเริ่มเข้าสู่การทดลองทางคลินิกขั้นที่ 2 ในช่วงปลายปี 2020 ซึ่งก็หมายความว่า น่าจะต้องรออย่างเร็วที่สุดช่วงกลางปี 2021 จึงจะผลิตออกสู่ท้องตลาดได้

รัฐบาลออสเตรเลียมีแผนสั่งซื้อวัคซีนทั้ง 2 ชนิด รวมจำนวนทั้งสิ้น 85 ล้านโดส เพื่อแจกจ่ายฟรีให้แก่ประชาชน ซึ่งคาดว่าจะใช้วงเงินประมาณ 1,700 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 38,800 ล้านบาท

ออสเตรเลียพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เพียง 45 คน ในรอบ 24 ชั่วโมงวันนี้ (7) ซึ่งนับเป็นสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. เป็นต้นมา โดยผู้ป่วยใหม่ 41 ราย อาศัยอยู่ในรัฐวิกตอเรีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดระลอกที่ 2

รัฐซึ่งมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของออสเตรเลียแห่งนี้ มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 คิดเป็นร้อยละ 75 ของจำนวนผู้ป่วยสะสมทั่วประเทศ 26,320 คน และมีผู้เสียชีวิตร้อยละ 90 จากทั้งหมด 762 คน


ที่มา: รอยเตอร์




กำลังโหลดความคิดเห็น