รอยเตอร์ - สหรัฐฯก้าวผ่านอีกหลักชัยอันน่าเศร้า ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) พุ่งเกิน 180,000 คนในวันพฤหัสบดี(27ส.ค.) จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ ขณะที่ฝรั่งเศส กำลังเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ ด้วยพบผู้ติดเชื้อรายวันอีกกว่า 6,100 คน สูงสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในประเทศ
ข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ ที่รายงานตอน 20.30น.ของวันพฤหัสบดี(27ส.ค.) ตรงกับเมืองไทย 07.30น.ของวันศุกร์(28ส.ค.) ระบุสหรัฐฯมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มอีก 931 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 180,527 คน
ขณะเดียวกันในสหรัฐฯ ยังพบผู้ติดเชื้อใหม่อีก 42,859 ราย ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 5,860,397 คน สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ทั้งในแง่จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต ขณะที่จำนวนผู้ป่วยที่หายเป็นปกติแล้ว อยู่ที่อย่างน้อย 2,101,326 คน
จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐฯ ลดลงในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ประเทศแห่งนี้ยังห่างไกลจากการหลุดพ้นวิกฤต โดยยังพบผู้ติดเชื้อใหม่มากมายในแต่ละภูมิภาค
นอกเหนือจากสหรัฐฯแล้ว อีกพื้นที่หนึ่งที่กลับมาเป็นจุดร้อนของการแพร่ระบาดก็คือฝรั่งเศส โดยล่าสุดดินแดนน้ำหอมรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันถึง 6,111 คนในวันพฤหัสบดี(27ส.ค.) สูงสุดนับตั้งแต่ออกจากมาตรการล็อกดาวน์ และสูงสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่การแพร่ระบาดได้เริ่มขึ้นในประเทศแห่งนี้
ตัวเลขของวันพฤหัสบดี(27ส.ค.) ถือว่าสูงสุดนับตั้งแต่สถิติสูงสุด 7,578 คนที่เกิดขึ้นระหว่างล็อกดาวน์เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อันเป็นช่วงพีคสุดของโรคระบาดใหญ่
กระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศสระบุว่ายอดผู้ติดเชื้อสะสมเวลานี้อยู่ที่ 259,698 คน ขณะที่ผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 30,576 คน หลังพบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 32 ราย
แม้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลบอกว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นการติดเชื้อในหมู่วัยรุ่น ซึ่งไม่แสดงอาการ ในขณะที่จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง 65 คน เหลือ 4,535 คน ต่ำสุดนับตั้งแต่คลายล็อกดาวน์ ส่วนจำนวนผู้ที่รักษาตัวในห้องไอซียู ลดลง 29 คน เหลือ 381 คน
เมื่อวันพุธ(26ส.ค.) ไม่มีการรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตหรือข้อมูลผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล สืบเนื่องจากเหตุขัดข้องทางเทคนิค