เอเอฟพี - อินเดียพุ่งแซง ‘บราซิล’ กลายเป็นชาติซึ่งมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ แล้วในวันนี้ (7 ก.ย.) ขณะที่ทางการเดินหน้าเปิดใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสายหลักอีกครั้ง เพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากโรคระบาด
แดนภารตะกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงเป็นอันดับต้นๆ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มสูงแตะหลัก 27 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 880,000 คน
ฝรั่งเศส, อิสราเอล และออสเตรเลีย เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ต้องหวนกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วน หลังจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกจนเป็นที่น่ากังวล
กระทรวงสาธารณสุขอินเดีย ยืนยันพบผู้ติดเชื้อใหม่รวมทั้งสิ้น 90,802 คน ในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งทำให้เคสสะสมขยับขึ้นไปอยู่ที่ 4.2 ล้านคน กลายเป็นที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดเชื้อสะสม 6.25 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากมาตรการจำกัดการเดินทาง ซึ่งบังคับใช้มาหลายเดือน ทำให้รัฐบาลอินเดียยอมเสี่ยงที่จะเดินหน้าฟื้นฟูประเทศกลับสู่ภาวะปกติ โดยในวันนี้ (7) ระบบรถไฟใต้ดินในกรุงนิวเดลี ซึ่งถูกปิดไป 5 เดือน จะกลับมาให้บริการอีกครั้ง ขณะที่อีก 12 เมือง ก็เริ่มเปิดบริการรถไฟใต้ดินบางส่วนเช่นกัน
ผู้โดยสารทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย, เว้นระยะห่างทางสังคม และผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าใช้บริการ
ในส่วนของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลก สหรัฐฯ ยังคงรั้งอันดับ 1 ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 188,000 คน ตามมาด้วยบราซิล 126,000 คน และ อินเดีย 71,000 คน
สถานการณ์ในยุโรปกลับมาน่าเป็นห่วงอีกครั้ง โดยอังกฤษมีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงเกือบ 3,000 คน เมื่อวานนี้ (6) ซึ่งนับเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค.
แมตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ระบุว่า การแพร่เชื้อระลอกใหม่เกิดขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาวเสียเป็นส่วนใหญ่ พร้อมเตือนคนกลุ่มนี้ให้ระมัดระวังตนเอง อย่านำเชื้อไวรัสไปติดปู่ย่าตายายที่บ้าน ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์กลับไปเลวร้ายเหมือนช่วงต้นปี
รัฐบาลอังกฤษประกาศเพิ่มมาตรการคุมเข้มเฉพาะในพื้นที่ซึ่งพบผู้ติดเชื้อใหม่ แต่จะไม่มีการล็อกดาวน์ประเทศเป็นครั้งที่ 2 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสได้ประกาศให้ 7 ภูมิภาค ซึ่งครอบคลุมเมืองใหญ่ๆ เช่น ลีลล์ (Lille), สตราสบูร์ก (Strasbourg) และดิฌง (Dijon) เป็นพื้นที่เฝ้าระวังระดับสูงเมื่อวานนี้ (6) หลังพบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเวลานี้มี 28 จังหวัด (departments) จากทั้งหมด 101 จังหวัดของฝรั่งเศสถูกประกาศเป็น “พื้นที่สีแดง” ซึ่งทางการสามารถใช้มาตรการคุมเข้มเป็นพิเศษเพื่อชะลอการแพร่ระบาดได้หากมีความจำเป็น
ฝรั่งเศสมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นเกือบ 9,000 คนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (4) และเวลานี้ทางการปารีสได้ออกกฎให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ
เมื่อวานนี้ (6) รัฐบาลอิสราเอลเริ่มใช้มาตรการ “ปิดเมืองยามค่ำคืน” ใน 40 เมืองทั่วประเทศซึ่งมียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นสูงสุด ขณะที่นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู สั่งปิดสถาบันการศึกษา และจำกัดการรวมตัวของประชาชนตั้งแต่วันนี้ (7) เป็นต้นไป
จากการรวบรวมข้อมูลของเอเอฟพี อิสราเอลมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่อหัวประชากรมากเป็นอันดับ 5 ของโลก สูงยิ่งกว่าบราซิลและสหรัฐอเมริกาเสียอีก
ส่วนที่ สเปน รัฐบาลพยายามสั่งเปิดโรงเรียนทั้งที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันยังพุ่งเป็นสถิติสูงสุดของยุโรป ขณะที่ผู้ปกครองบางส่วนปฏิเสธที่จะให้ลูกกลับเข้าชั้นเรียนในปีการศึกษาใหม่ แม้จะถูกทางการขู่ลงโทษก็ตาม