xs
xsm
sm
md
lg

จีนจัดพิธีใหญ่โอ่ความสำเร็จปราบโควิด-ฟื้น ศก.ขณะยุโรปผวาไวรัสลามระลอกใหม่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ถ่ายภาพร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ดีเด่น ซึ่งได้รับรางวัลในพิธีฉลองชัยชนะปราบโควิด-19 ณ มหาศาลาประชาชน ในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันอังคาร (8 ก.ย.) ทั้งนี้ ผู้ได้รับรางวัลประกอบด้วย (จากซ้าย)  พลตรี (หญิง) เฉิน เวย นักวิจัยวัคซีน
เอเจนซีส์ - ผู้นำจีนเฉลิมฉลองความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในการปราบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อวันอังคาร (8 ก.ย.) ขณะที่ผู้คนหลายพันล้านทั่วโลก ยังต้องทนทุกข์จากผลกระทบของโรคระบาด ด้วยตัวเลขผู้เสียชีวิตที่จ่อหลัก 900,000 คน โดยที่ยุโรปกำลังกังวลมากขึ้นว่า โควิด-19 กำลังจะกลับมาอีกระลอก

จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดในเวลานี้อยู่ที่กว่า 27 ล้านคน และเสียชีวิตเกิน 890,000 คน โดยที่สำคัญสถานการณ์โรคระบาดยังไม่มีวี่แววว่าถึงจุดเลวร้ายที่สุดแล้ว

แต่สำหรับจีน ไวรัสโคโรนาถูกกำจัดจากมาตรการล็อกดาวน์และการจำกัดการเดินทางอย่างเข้มงวดตั้งแต่เมื่อตอนต้นปี กระทั่งเจ้าหน้าที่แดนมังกรกล้าประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า จีนเป็นต้นแบบความสำเร็จในการจัดการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้

ในวันอังคาร (8) จีนจัดพิธีใหญ่โตขึ้นที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง เพื่อมอบรางวัลแก่บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีผลงานดีเด่นในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่คราวนี้ โดยที่ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวในพิธีว่า จีนสามารถผ่านบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์แล้ว จากการชนะสงครามกับโควิด-19 อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นประเทศแรกที่สามารถฟื้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโรคระบาด

ฝ่ายตะวันตกมองว่า หน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อของจีน พยายามฉวยโอกาสนี้สร้างภาพความสำเร็จในการรับมือไวรัสของแดนมังกร ว่า เป็นตัวอย่างความว่องไวและการทำงานอย่างเป็นระบบของเหล่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์

นอกจากนั้น สื่อของทางการจีนยังพยายามเน้นย้ำบทบาทของประธานาธิบดีสี ในการควบคุมการระบาด โดยสำนักข่าวซินหัวระบุในรายงานพิเศษขนาดยาว ว่า สีทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและอดหลับอดนอนมาตั้งแต่เดือนมกราคม เนื่องจากต้องแบกรับภารกิจที่ยากลำบากอย่างยิ่งในการต่อสู้กับไวรัส

ระหว่างพูดในพิธีเมื่อวันอังคาร สียังเหน็บแนมพวกที่คลางแคลงจีนว่า ความเห็นแก่ตัว การปัดความรับผิดชอบ และการกระทำที่สร้างความสับสน อาจทำให้เกิดความเสียหายไม่เฉพาะกับประเทศนั้นๆ เอง แต่รวมถึงทั่วโลก และย้ำว่า จีนดำเนินการควบคุมโรคระบาดอย่างเปิดเผย โปร่งใส รวดเร็ว และเด็ดขาด ทำให้สามารถรักษาชีวิตผู้คนนับสิบล้านคนทั่วโลก และยังแสดงให้เห็นความจริงใจของจีนในการสร้างประชาคมแห่งอนาคตร่วมกันเพื่อมนุษยชาติ

สีย้ำว่า จีนช่วยเหลือประเทศต่างๆ ต่อสู้กับโควิดด้วยการส่งเครื่องช่วยหายใจ 209,000 เครื่อง ชุดป้องกันไวรัส 1,400 ล้านชุด และหน้ากากอนามัย 151,500 ล้านชิ้น รวมทั้งส่งบุคลากรทางการแพทย์ไปช่วยประเทศต่างๆ

ปักกิ่งยังอวดความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของตน ว่า บ่งชี้ถึงความเป็นผู้นำโลกและความยืดหยุ่น รวมทั้งประกาศสนับสนุนองค์การอนามัยโลก (WHO) ในการรับบทผู้นำต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกต่อไป

ทั้งนี้ จีนได้โชว์วัคซีนต้านไวรัสโคโรนาที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศเป็นครั้งแรก ในงานมหกรรมการค้าที่ปักกิ่งในสัปดาห์นี้ และเจ้าหน้าที่หวังว่า วัคซีนจะได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้ภายในปลายปีนี้

วัคซีนของจีนเป็นหนึ่งในวัคซีนเกือบ 10 ตัวทั่วโลก ที่เข้าสู่การทดลองเฟส 3 หรือการทดลองกับผู้คนกลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งปกติแล้วเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการอนุมัติจากทางการ ขณะที่ประเทศต่างๆ กำลังแข่งขันกันเพื่อเอาชนะโรคร้ายนี้ที่กำลังสร้างปัญหารุนแรงทั่วโลก

ทางด้านยุโรป เมื่อวันจันทร์ (7) สเปนเป็นประเทศแรกในยุโรปตะวันตกที่มีผู้ติดเชื้อเกิน 500,000 คน

ก่อนหน้านี้ แดนกระทิงดุสามารถควบคุมการระบาดได้เป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากผ่อนคลายมาตรการจำกัดเข้มงวดต่างๆ ไปเมื่อปลายเดือนมิถุนายน จำนวนผู้ติดเชื้อกลับพุ่งขึ้นอีกครั้ง

สำหรับฝรั่งเศส ประกาศบังคับใช้มาตรการจำกัดบางอย่างอีกครั้งหนึ่ง หลังพบผู้ติดเชื้อรายวันทั่วประเทศเพิ่มขึ้นทำสถิติ 7,000-9,000 คนต่อเนื่องหลายวัน

ส่วนอังกฤษออกคำสั่งจำกัดการเดินทางของนักเดินทางจากเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว 7 แห่งของกรีซ หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มทำสถิติสูงสุดนับจากปลายเดือนพฤษภาคม

ที่เอเชีย อินเดียเดินหน้ารีสตาร์ทเศรษฐกิจ แม้แซงบราซิลกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา ด้วยตัวเลข 4.2 ล้านคน เมื่อวันจันทร์ โดยรถไฟเริ่มให้บริการอีกครั้งในกรุงนิวเดลี หลังหยุดไป 5 เดือน และอีก 12 เมือง เริ่มฟื้นบริการรถไฟใต้ดิน

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ปรบมือให้กับผู้ได้รับรางวัลอื่นๆ ลดหลั่นลงมา ในพิธีฉลองชัยชนะปราบโควิด-19 ณ มหาศาลาประชาชน ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันอังคาร (8 ก.ย.)




กำลังโหลดความคิดเห็น