ทรัมป์’และ ‘ไบเดน’ ปะทะคารมตอบโต้กันช่วงก่อนเลือกตั้งอย่างดุเดือดเมื่อวันอาทิตย์ (30 ส.ค.) โดยประธานาธิบดีสังกัดพรรครีพับลิกัน พยายามสร้างภาพคู่แข่งว่า อ่อนปวกด้านปราบอาชญากรรม ขณะที่อดีตรองประธานาธิบดีจากเดโมแครตกล่าวหาทรัมป์เป็นคนจุดชนวนสร้างความแตกแยกแบ่งขั้ว และโหมกระพือให้เกิดความรุนแรงขึ้นในชาติ
ความรุนแรงที่กำลังปะทุขึ้นในสหรัฐฯ โดยเชื่อมโยงกับการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติสีผิว กำลังถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน หยิบฉวยชูเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้งที่จะมีขึ้นวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ โดย ทรัมป์ นำเสนอตัวเองเป็นทางเลือกสำหรับ “ความสงบเรียบร้อย” และโจมตีว่า ถ้าโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ชนะจะปล่อยให้ม็อบฝ่ายซ้ายครองเมือง
ทว่า เดโมแครตกล่าวหาทรัมป์กำลังพยายามใช้เหตุการณ์รุนแรงแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าหาทางหยุดยั้งความตึงเครียด โดยไบเดนประณามว่า ความคิดดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดวิสัยทัศน์ผู้นำประเทศหรือแม้แต่ความเห็นอกเห็นใจผู้คนด้วยกัน
อดีตรองประธานาธิบดีในสมัยบารัค โอบามาผู้นี้ ยังประณามทุกฝ่ายที่ใช้ความรุนแรง และกล่าวหาทรัมป์มีบทบาทสำคัญในการยั่วยุให้เกิดการปะทะ และว่า ทรัมป์อาจคิดว่า การทวิตเรื่องความสงบเรียบร้อยจะทำให้ตัวเองดูแข็งแกร่งขึ้น แต่จริงๆ แล้วการที่เขาไม่สามารถเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนยุติความขัดแย้งต่างหากที่ฟ้องว่า ทรัมป์อ่อนแอขนาดไหน
ทีมหาเสียงเผยว่า ไบเดนจะปราศรัยในวันจันทร์ (31 ส.ค.) เกี่ยวกับคำถามคาใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียงหลายคนที่ว่า คนอเมริกันจะปลอดภัยหรือไม่หากอยู่ภายใต้ทรัมป์
ตลอดช่วงฤดูร้อนนี้ ทรัมป์พยายามให้ภาพว่า หลายเมืองอยู่ในสภาพไร้กฎหมายและเต็มไปด้วยความรุนแรง รวมทั้งยังประณามผู้ประท้วงว่า เป็นอันธพาลและปกป้องตำรวจ ทั้งที่ความจริงแล้วการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบ
และขณะที่เหลือเวลาเพียง 9 สัปดาห์ก่อนถึงวันเลือกตั้ง ที่ปรึกษาบางคนของทรัมป์มองว่า การเน้นย้ำ “ความสงบเรียบร้อย” เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลบเลี่ยงจากเรื่องโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งเป็นจุดอ่อนเปราะที่สะท้อนถึงความล้มเหลวของทรัมป์อย่างชัดเจน เวลาเดียวกันก็จะสามารถโน้มน้าวให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงหันหลังให้ไบเดน รวมทั้งช่วงชิงประชาชนแถบชานเมือง โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง ซึ่งมีความวิตกเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้กลับมาสนับสนุนทรัมป์อีกครั้ง
ทั้งนี้ ทรัมป์ใช้เวลาตลอดช่วงเช้าวันอาทิตย์ (30 ส.ค.) ทวิตและรีทวิตโพสต์ภาพความรุนแรงในเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารของเดโมแครต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองพอร์ตแลนด์ที่เพิ่งมีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 1 คนขณะเกิดการตะลุมบอนระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านลัทธิเหยียดผิวกับคาราวานผู้สนับสนุนทรัมป์เมื่อวันเสาร์ (29 ส.ค.)
ประมุขทำเนียบขาวทวิตยกย่องผู้เข้าร่วมขบวนคาราวานว่า เป็นพวกรักชาติ และรีทวิตชื่อผู้ตายซึ่งเป็นพวกฝ่ายขวาที่สนับสนุนตนเอง พร้อมข้อความว่า “หลับให้สบาย”
ทรัมป์ยังขู่ซ้ำว่า จะส่งกองกำลังของรัฐบาลกลางไปยังเมืองพอร์ตแลนด์ ถ้าเท็ด วีเลอร์ นายกเทศมนตรีสังกัดพรรคเดโมแครต จัดการการประท้วงไม่ได้ รวมทั้งยังโจมตีวีเลอร์ที่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากกองกำลังพิทักษ์ชาติ (เนชั่นแนล การ์ด) ที่ทรัมป์อ้างว่า จะสะสางปัญหาในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง โดยทรัมป์บอกว่า วีเลอร์ไม่มีน้ำยาและเฉื่อยชาเหมือนไบเดน
ทางฝ่ายวีเลอร์ตอกกลับระหว่างการแถลงข่าววันอาทิตย์ว่า เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา คนอเมริกันต้องอดทนกับพฤติกรรมของทรัมป์ในการเหยียดเชื้อชาติต่อคนดำ การพูดจาแทะโลมผู้หญิง การดูถูกเหยียดหยามผู้อพยพและนักข่าว และตอนนี้ถึงคิวนายกเทศมนตรีในหลายเมืองใหญ่
วีเลอร์ทิ้งท้ายว่า ที่อเมริกาเผชิญความรุนแรงในระดับนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ เป็นเพราะทรัมป์สร้างความเกลียดชังและแตกแยก
นายกเทศมนตรีเมืองพอร์ตแลนด์ยังเปิดเผยข้อความในจดหมายเปิดผนึกที่ส่งถึงทรัมป์เมื่อวันศุกร์ (28 ส.ค.) ที่ระบุว่า “เรารู้ว่าคุณได้ข้อสรุปว่า ภาพความรุนแรงหรือการปล้นคือตั๋วที่จะนำคุณกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวสมัยที่สอง”
ขณะเดียวกัน รอน จอห์นสัน วุฒิสมาชิกวิสคอนซินจากพรรครีพับลิกันและประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของวุฒิสภา ยืนยันว่า ความรุนแรงและการเสียชีวิตจะไม่มีทางยุติลงจนกว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจะเข้าไปควบคุมสถานการณ์ได้ พร้อมโจมตีว่า การไม่ลงมือหยุดยั้งการจลาจลหรือทำแบบขอไปทีเท่ากับเป็นการส่งเสริมระบอบอนาธิปไตย
แต่ที่วิสคอนซินเอง โทนี เอเวอร์ส ผู้ว่าการรัฐซึ่งสังกัดพรรคเดโมแครต ส่งจดหมายถึงทรัมป์เมื่อวันอาทิตย์เพื่อขอให้ทบทวนแผนการเดินทางไปยังเมืองเคโนชาในวันอังคาร (1) เนื่องจากเกรงว่า จะบั่นทอนความพยายามในการฟื้นความปรองดองและแก้ปัญหาความรุนแรงของรัฐ
ทั้งนี้เมืองเคโนชาเป็นสถานที่เกิดเหตุตำรวจรัวยิงใส่หลังจาค็อบ เบล็ค ชายผิวดำ ในระยะประชิดจนกระทั่งเหยื่อเป็นอัมพาตเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว และเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการประท้วงในพอร์ตแลนด์ระลอกล่าสุด
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์/เอเจนซีส์