เอเจนซีส์ – ในวันที่สองของการประชุมใหญ่ระดับชาติพรรครีพับลิกันเมื่อวันอังคาร (25 ส.ค.) สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เมลาเนีย ทรัมป์ เปลี่ยนบรรยากาศจากที่ปกคลุมด้วยถ้อยคำก้าวร้าวเสียดสีโจมตีคู่แข่ง กลายเป็นการแสดงความเห็นใจเหยื่อไวรัสโคโรนา พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนยุติความรุนแรงและทำความเข้าใจปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ ถือเป็นความพยายามเพื่อชิงคืนฐานเสียงผู้หญิงที่พากันทิ้งทรัมป์ไปหาไบเดน
ณ วันที่สองของการประชุมใหญ่เป็นเวลา 4 วันเพื่อเสนอชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 74 ปี ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายนอย่างเป็นทางการ เมลาเนีย ซึ่งเวลานี้อายุ 50 ปี ขึ้นกล่าวปราศรัยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลยอมรับว่ามีความเจ็บปวดเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโรคระบาด นับว่าตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับผู้ปราศรัยส่วนใหญ่โดยเฉพาะสามีของเธอเองที่ถูกเดโมแครตโจมตีว่า ไม่เคยปลอบใจประชาชนระหว่างวิกฤตสาธารณสุขครั้งร้ายแรงที่คร่าชีวิตอเมริกันชนไปแล้วกว่า 178,000 คน
เมลาเนียซึ่งปราศรัยจากสวนกุหลาบในทำเนียบขาว สู่การประชุมใหญ่ที่รายการส่วนมากจัดกันแบบเสมือนจริงสืบเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 บอกว่า นับจากเดือนมีนาคม ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเธอเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อทุกคนที่สูญเสียคนรัก รวมทั้งขอสวดภาวนาให้ผู้ที่เจ็บป่วยหรือวิตกกังวลอยู่ในตอนนี้
เธอยังกล่าวถึงเหตุการณ์วุ่นวายทั่วประเทศจากปัญหาการเหยียดเชื้อชาติที่ยืดเยื้อมาหลายเดือนนับจากที่ชายผิวดำ จอร์จ ฟลอยด์ ถูกตำรวจผิวขาวในมินนิอาโปลิส ใช้เข่ากดทับคอจนเสียชีวิตเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม และสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านมายังเกิดเหตุที่กลายเป็นชนวนการประท้วงรอบใหม่ จากการที่ตำรวจรัวยิงชายผิวดำที่ไม่มีอาวุธต่อหน้าลูกเล็กๆ ในรัฐวิสคอนซิน
เมลาเนียเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง การปล้นชิงโดยใช้ข้ออ้างของความยุติธรรม และอย่าด่วนสรุปโดยอิงกับสีผิวของคนๆ นั้น นอกจากนี้เธอยังรื้อฟื้นความหลังของเธอเองตอนที่เดินทางจากสโลวีเนียไปถึงอเมริกาในฐานะนางแบบวัย 26 ปี โดยบอกว่า เธอได้ยินมานานเกี่ยวกับสถานที่สุดอัศจรรย์และดินแดนแห่งโอกาสที่เรียกกันว่า อเมริกา
แม้ก่อนหน้านี้ทรัมป์ใช้นโยบายจัดการกับผู้ลักลอบอพยพอย่างแข็งกร้าวเพื่อโกยคะแนนนิยม แต่จากการตกเป็นรองโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและอดีตรองประธานาธิบดีในยุคบารัค โอบามา ในผลสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศของสำนักต่างๆ ทำให้ทีมหาเสียงเห็นว่า ทรัมป์ควรพยายามโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่มีแนวทางสายกลาง
ก่อนการปราศรัยของเมลาเนีย มีการเปิดคลิปทรัมป์ร่วมงานฉลองการโอนสัญชาติของผู้อพยพกลุ่มหนึ่งที่จัดขึ้นในวันเดียวกันที่ทำเนียบขาว และทีมหาเสียงยังหวังว่า การปรากฏตัวของเมลาเนียจะช่วยดึงกลุ่มผู้หญิงที่โพลระบุว่า หันไปสนับสนุนไบเดน ให้กลับมาหาทรัมป์
อย่างไรก็ดี นอกจากทรัมป์ที่ไม่สนใจเส้นแบ่งระหว่างการเมืองกับรัฐบาล ด้วยการเตรียมประกาศรับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคในวันพฤหัสบดี (27) ที่ทำเนียบขาวแล้ว วันอังคาร ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของเขา ก็ทำสิ่งที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับธรรมเนียมปฏิบัติของนักการทูต ด้วยการปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่พรรคขณะอยู่ในภารกิจเยือนอิสราเอล โดยสดุดีนโยบายการย้ายสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันไปเยรูซาเลมของทรัมป์
ทั้งการปราศรัยของเมลานีและพอมเพโอถูกพรรคเดโมแครตวิจารณ์อย่างหนัก พร้อมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมที่ทรัมป์ใช้ทำเนียบประธานาธิบดีเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองส่วนตัว และการที่พอมเพโอปราศรัยทางการเมืองระหว่างปฏิบัติภารกิจทางการทูต
ก่อนเมลาเนียปราศรัย บรรยากาศการประชุมคล้ายกับวันแรกที่สมาชิกรีพับลิกันพยายามเอาใจกลุ่มผู้สนับสนุนหลักของทรัมป์ ด้วยการวาดภาพอนาคตชวนหดหู่ของอเมริกาถ้าไบเดนชนะ
ขณะเดียวกัน แม้ทรัมป์ถูกโจมตีเรื่องการรับมือโควิด-19 และปัญหาอื่นๆ แต่ยังกวาดคะแนนในโพลด้านการบริหารเศรษฐกิจ และบรรดาเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารนำทีมโดยแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาว ปราศรัยเมื่อวันอังคารยกย่องว่า ความพยายามของทรัมป์ในการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านเศรษฐกิจ ผลักดันนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ในการเจรจาการค้า และปกป้องเสรีภาพทางศาสนา เป็นเหตุผลอธิบายว่า ทำไมประชาชนจึงควรเลือกเขามากกว่าไบเดน