เอพี - ผู้ว่าการรัฐวิสคอนซินในสหรัฐฯ ต้องเรียกระดมพลกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) ในวันจันทร์ (24 ส.ค.) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการประท้วงรุนแรงรอบใหม่ หลังปรากฏภาพตำรวจยิงชายผิวสีกลางหลังระหว่างการควบคุมตัว เหตุการณ์ที่เสี่ยงเปลี่ยนเมืองเคโนชา ให้กลายเป็นจุดล่อแหลมล่าสุดของสถานการณ์ความไม่สงบทางสีผิว
โทนี เอเวอร์ส ผู้ว่าการรัฐจากเดโมแครต เปิดเผยว่า สมาชิกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 125 นาย จะเข้าประจำการในเมืองเคโนชาในตอนกลางคืน ภายใต้หน้าที่รับผิดชอบคุ้มกันสาธารณูปโภคของเมือง และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นๆ จะได้รับการปกป้อง ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ของเมืองยังได้ประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 20.00 น.เป็นต้นไป
ความเคลื่อนไหวมีขึ้นหลังพวกผู้ประท้วงจุดไฟเผา ทุบกระจก และปะทะกับเจ้าหน้าที่ในชุดปราบจลาจลเมื่อคืนวันอาทิตย์ (23 ส.ค.) ที่ผ่านมา หลังเกิดกรณี จาค็อบ เบลค วัย 29 ปี ได้รับบาดเจ็บและเวลานี้กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส ถูกตำรวจยิงกลางหลัง ตอนที่เขากำลังเอียงตัวขึ้นรถ SUV ของตนเอง และต่อหน้าลูกๆ ของเขา 3 คนที่นั่งอยู่ภายในรถยนต์ ภาพสุดช็อกที่ผู้เห็นเหตุการณ์บันทึกเอาไว้ได้
ตำรวจในเมืองเคโนซา บอกว่าพวกเขาตอบสนองต่อโทรศัพท์แจ้งเหตุทะเลาะวิวาทภายในครอบครัว แต่ไมได้เผยว่า เบลค มีอาวุธหรือไม่ หรือให้เหตุผลว่าทำไมตำรวจต้องลั่นไกใส่เขา นอกจากนี้แล้วตำรวจก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุทะเลาะวิวาทภายในครอบครัว รวมถึงไม่ยอมเปิดเผยสีผิวของตำรวจทั้ง 3 นายที่อยู่ในจุดเกิดเหตุ
เรย์ฌอง ไวท์ วัย 22 ปี ที่กล่าวอ้างว่าเป็นคนบันทึกวิดีโอ เล่าว่าเขาเห็น เบลค ต่อสู้กับตำรวจ 3 นาย และได้ยินพวกตำรวจตะโกนว่า “ทิ้งมีดลง! ทิ้งมีดลง!” ก่อนเสียงปืนดังขึ้น แต่บอกว่าเขาไม่เห็นอาวุธมีดในมือของเบลคแต่อย่างใด
สอดคล้องกับผู้ว่าการรัฐที่เผยว่าเขาไม่เห็นข้อมูลที่บ่งชี้ว่า เบลค มีมีดหรืออาวุธอื่นๆ แต่ชี้แจงว่าคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนของกระทรวงยุติธรรม โดยในเบื้องต้นตำรวจทั้ง 3 นายถูกสั่งให้ไปปฏิบัติงานที่อื่นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นระเบียบปฏิบัติตามมาตรฐานในกรณีที่เกิดเหตุยิงกันโดยตำรวจ
เอเวอร์ส ประณามเหตุการณ์นี้อย่างรวดเร็ว โดยบอกว่าแม้ยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด “แต่ที่แน่นอนก็คือ เรารู้ว่าเขาไม่ใช่คำผิวสีคนแรกหรือบุคคลรายแรกที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ หรือถูกสังหารอย่างไร้ความปรานีโดยเงื้อมมือของผู้บังคับใช้กฎหมายในรัฐของเราหรือประเทศของเรา”
ภาพของเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นตอนเวลาราวๆ 17.00 น.ของวันอาทิตย์ (23 ส.ค.) ซึ่งถูกโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ พบเห็น เบลค เดินอ้อมบริเวณด้านหน้ารถเอสยูวีของเขา ไปยังบริเวณประตูด้านที่นั่งผู้โดยสาร โดยพวกเจ้าหน้าที่ใช้ปืนจี้เดินตามมาติดๆพร้อมตะคอกใส่ ทันใดนั้นขณะที่ เบลค เปิดประตูและเอียงตัวเข้าไปภายใน ตำรวจนายหนึ่งก็คว้าเสื้อของเขาจากด้านหลัง แล้วรัวเป็นเข้าใส่เป็นชุดๆ
เสียงปืนดังขึ้น 7 นัด แม้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่ากระสุนเหล่านั้นโดนเบลคกี่นัด หรือมีเจ้าหน้าที่กี่คนที่ลั่นไก โดยระหว่างเกิดเหตุนั้นได้ยินเสียงผู้หญิงผิวสีรายหนึ่งส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น
ไวท์ บอกว่าก่อนได้ยินเสียงปืน เขามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นผู้หญิง 6 หรือ 7 คนตะโกนด่าทอกันบนทางเท้า และไม่กี่ต่อมา เบลค ก็ขับรถเอสยูวีเข้ามาจอด และบอกให้ลูกชายของเขา ซึ่งยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงจุดที่คนทะเลาะกัน ให้ขึ้นรถ โดย ไวท์ เล่าว่าในตอนนั้น เบลค ก็ไม่ได้ไปพูดอะไรกับผู้หญิงกลุ่มดังกล่าว
ทั้งนี้ ไวท์ ผละตัวออกห่างจากหน้าต่างไปไม่กี่นาที และพอกลับมาดูเหตุการณ์ ก็เป็นตอนที่ เบลค กำลังปลุกปล้ำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายไปแล้ว โดยหนึ่งในตำรวจชกเข้าบริเวณซี่โครงของเบลค ส่วนอีกคนใช้ปืนช็อตไฟฟ้า จากนั้นตำรวจก็ปล่อยให้ เบลค เดินหนี พร้อมกับตะโกนว่าเขามีมีด
เบน ครัมป์ ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ตัวแทนของครอบครัวเบลค กล่าวว่า “เบลคเพียงแค่พยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในการเข้าแทรกแซงเหตุทะเลาะวิวาทภายในครอบครัว” พร้อมเผยว่าทางครอบครัวของเบลคเรียกร้องให้ผู้ประท้วงชุมนุมกันอย่างสันติ “พวกเขาไม่เชื่อว่าความรุนแรงจะเป็นทางออก”
จากบันทึกของศาลที่เผยแพร่ทางออนไลน์ พบว่าคณะอัยการของเมืองเคโนชา เคยตั้งข้อหาเบลคเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ฐานประทุษร้ายทางเพศ, บุกรุกและมีพฤติกรรมที่ยุ่งเหยิงเกี่ยวข้องกับเหตุทำร้ายร่างกายภายในครอบครัว ก่อนมีการอนุมัติหมายจับในวันต่อมา อย่างไรก็ตาม บันทึกดังกล่าวไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม และไม่ปรากฏชื่อทนายความของเบลค
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเหตุถูกตำรวจจ่อยิงครั้งนี้หรือไม่
ครัมป์ ซึ่งเป็นตัวแทนของครอบครัว จอร์จ ฟลอยด์ และ บรีออนนา เทย์เลอร์ สองชาวผิวสีเป็นเหยื่อการใช้ความรุนแรงของตำรวจ เรียกพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ว่า “ไร้ความรับผิดชอบ, ขาดการไตร่ตรองและไม่มีความเป็นมนุษย์” พร้อมบอกว่า “น่าอัศจรรย์มากที่เขายังมีชีวิตอยู่”
สถานการณ์ความไม่สงบมีขึ้นตามมาหลังจากนั้นในคืนวันอาทิตย์ (23 ส.ค.) โดยภาพบนสื่อสังคมออนไลน์ พบเห็นบรรดาเพื่อนบ้านออกมารวมตัวบนท้องถนนและตะโกนด่าทอตำรวจ ส่วนคนอื่นๆ ขว้างปาวัตถุสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่และทุบทำลายรถตำรวจ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตอบโต้ด้วยการยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่เพื่อสลายการชุมนุม
เหตุการณ์นี้สะท้อนการประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ต่อพฤติกรรมใช้ความรุนแรงป่าเถื่อนของตำรวจและความไม่เท่าเทียมทางผิวสี