xs
xsm
sm
md
lg

‘ขีปนาวุธจีน’สามารถจม ‘เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ’ได้จริงหรือ?

เผยแพร่:   โดย: เดฟ มาคิชุค


ภาพที่เผยแพร่โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ แสดงให้เห็นหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี ยูเอสเอส โรนัลด์ เรแกน และ ยูเอสเอส นิมิตซ์ แปรขบวนกลางทะเล ระหว่างการซ้อมรบในทะเลจีนใต้เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)

Great debate: Could China sink a US aircraft carrier?
by Dave Makichuk
10/07/2020

หนังสือพิมพ์ที่รัฐบาลจีนหนุนหลังเสนอแนะว่า ขีปนาวุธของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน สามารถทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯที่แล่นอยู่ในทะเลจีนใต้ได้อย่างง่ายดาย

เราถล่มให้พวกแกจมทะเลได้นะ ... ถ้าหากเราต้องการ

นี่คือข้อความซึ่งไม่ค่อยกำกวมเท่าใดที่ทางจีนส่งไปถึง ยูเอสเอส โรนัลด์ เรแกน (USS Ronald Reagan) และ ยูเอสเอส นิมิตซ์ (USS Nimitz) ตอนที่เรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันทั้ง 2 ลำนี้ออกมาปฏิบัติการฝึกซ้อมคู่กันในทะเลจีนใต้เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม [1] ทั้งนี้ตามรายงานของ คริส ออสบอร์น (Kris Osborn ดูประวัติย่อของเขาได้ที่ https://nationalinterest.org/profile/kris-osborn) แห่ง เนชั่นแนล อินเทอเรสต์ (National Interest วารสารและเว็บไซต์กิจการระหว่างประเทศและการทหารแนวชาตินิยมฝ่ายขวาในสหรัฐฯ ดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://nationalinterest.org/)

หนังสือพิมพ์ที่หนุนหลังโดยรัฐบาลจีนฉบับหนึ่งรายงานข่าวเอาไว้ว่า พวกเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯในภูมิภาคแถบนี้ “ตกอยู่ภายในกำมือของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ... ซึ่งมีอาวุธต่อสู้เรือบรรทุกเครื่องบินให้เลือกใช้อย่างกว้างขวาง เป็นต้นว่า ขีปนาวุธโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบินแบบ DF-21D และ DF-26”

อย่างไรก็ตาม การกล่าวอ้างของฝ่ายจีนที่ว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯอยู่ในสภาพที่อ่อนเปราะอย่างสุดๆ เช่นนี้ ยังคงเป็นคำถามที่เปิดกว้างสำหรับการถกเถียงอภิปรายกัน ขีปนาวุธพวกที่สื่อแดนมังกรเอ่ยอ้างถึงนั้น มีรายงานระบุว่ามีพิสัยทำการไกลถึงระดับ 900 ไมล์ทะเล และได้รับการพิจารณาว่าเป็นภัยคุกคามอันสำคัญต่อเรื่อบรรทุกเครื่องบินอเมริกัน

การบอกว่าเป็นภัยคุกคามอันสำคัญนั้น เราหมายความว่าหากโจมตีถูกตรงๆ เต็มๆ แล้ว เรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นก็เป็นอันจบสิ้นปิดเกม ในความเป็นจริงแล้ว อาวุธเหล่านี้ว่ากันว่ามีความเร็วสูงมาก จนแม้กระทั่งมันไม่ได้ติดตั้งหัวรบเลย มันก็จะพุ่งทะลุเรือ ทำให้เรือสิ้นชีพไปกลางท้องทะเล

ยิ่งกว่านั้น ยังมีความเข้าใจชนิดไม่ต้องพูดจากันว่า อาวุธโจมตีซึ่งเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็วระดับไฮเปอร์โซนิก นั่นคือเกินกว่า มัค 5 (5 เท่าของความเร็วเสียง) ขึ้นไป การที่จะหาทางสอยหาทางสกัดกั้น จะเป็นเรื่องยากลำบากมากๆ ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ยากมากๆ

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในแวดวงนี้กำลังพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และอาวุธทุกๆ ชนิดทุกๆ ระบบ ย่อมจะมีช่องทางเสมอในการทำให้มันหันเหออกจากเป้าหมายหรือสกัดกั้นหยุดยั้งมันได้ แต่ว่าอาจจะไม่ค่อยมีการเปิดเผยข้อมูลกันเท่าใด เนื่องจากโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้ว (หากว่าไม่ใช่ทั้งหมดเลย) ย่อมถูกจัดชั้นถือเป็นความลับระดับสูง

ในการป้องกันเรือบรรทุกเครื่องบินเหล่านี้ การฝึกของฝ่ายสหรัฐฯมีการเน้นถึงความพยายามที่จะทำให้เกิดความพรักพร้อมสำหรับการโจมตีด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินหลายลำประสานงานกัน เรื่องเช่นนี้หากเกิดขึ้นได้จะเป็นทางเลือกสำหรับการโจมตีทางนาวีซึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบฝ่ายศัตรูอย่างมหาศาล โดยสาระสำคัญแล้ว คือทำให้กำลังยิงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว, ขณะที่ศักยภาพในการตรวจการณ์สอดแนม และสมรรถนะของอาวุธก็สูงขึ้นเป็น 2 เท่าตัวเหมือนกัน รายงานของ เนชั่นแนล อินเทอเรสต์ บอก

ไม่เพียงแค่ทางเลือกในการเข้าโจมตีโดยใช้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ จะเป็นการขยายความสามารถของกองทัพเรือสหรัฐฯในการโจมตีพวกเป้าหมายที่อยู่บนบก, ขยายเวลาที่สามารถใช้ได้สำหรับการค้นหาเป้าหมาย, และทำให้สามารถทำการประสานการโจมตีแบบหลากหลายแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่มันยังทำให้การโจมตีด้วยขีปนาวุธที่ยิงออกจากพวกเรือพิฆาต (destroyer) -เรือลาดตระเวน (cruiser) มีคุณภาพดีขึ้นอย่างมหาศาล

ต้องตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า หมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี (Carrier Strike Group) แต่ละหมู่ของสหรัฐฯนั้น จะประกอบด้วย เรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ, เรือลาดตระเวน และเรือพิฆาต 2 ลำ เป็นการผสมผสานเพื่อทำให้พวกทรัพย์สินที่ปฏิบัติการทางทะเลเหล่านี้เกิดการบูรณาการกันอย่างลงตัว เนชั่นแนล อินเทอเรสต์ รายงาน

นอจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่จะต้องนำมาพิจารณา

ประการแรก พิสัยทำการของขีปนาวุธจีนชนิดต่างๆ ที่มุ่งพิฆาตเรือบรรทุกเครื่องบิน ตามที่มีรายงานกันเหล่านี้ ไม่ได้เป็นตัวสร้างภัยคุกคามร้ายแรงอะไรต่อเรือบรรทุกเครื่องบินที่พวกมันเคลื่อนเข้าไปใกล้หรอก ยกเว้นแต่มันถูกติดตั้งด้วยระบบนำทางที่ประณีตแม่นยำ และมีความสามารถในการแกะรอยติดตามและโจมตีใส่เป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่ ถ้าหากสิ่งที่บรรยายมาเหล่านี้ซึ่งมีศัพท์แสงเรียกกันว่า “สายโซ่สังหาร” (kill chain) เกิดการสะดุดใดๆ ขึ้นมาแล้ว ก็จะแสดงให้เห็นว่าอาวุธโจมตีดังกล่าวไร้ประโยชน์ใช้การไม่ได้

นอกจากนั้น ขณะที่เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะไม่มีการถกเถียงอภิปรายอะไรในที่สาธารณะด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงซึ่งสิ่งที่เข้าใจกันได้ แต่กองทัพเรือสหรัฐฯก็ยังคงมีการพัฒนาเพิ่มความก้าวหน้าในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงยกระดับระบบกลาโหมแบบหลายชั้นหลายเชิงซ้อนกันของตน เนชั่นแนล อินเทอเรสต์ รายงาน

ประการที่สอง กองทัพเรือสหรัฐฯยังคงสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในการติดตั้งประกอบอาวุธพวกเรือผิวน้ำของตนด้วยอาวุธเลเซอร์ใหม่ๆ และระบบการทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic warfare ใช้อักษรย่อว่า EW) ขั้นก้าวหน้า ซึ่งน่าที่จะ “ก่อกวน” พวกขีปนาวุธที่พุ่งเข้ามา, หยุดยั้งมัน, ทำลายวงโคจรของมัน, หรือไม่ก็อาจจะเพียงแค่เบี่ยงเบนทำให้มันหลุดออกจากเส้นทางเดิมของมันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบกลาโหมแบบหลายชั้นหลายเชิงซ้อนกันของกองทัพเรืออเมริกัน ไม่เพียงมีพวกตัวเซนเซอร์พิสัยไกลรุ่นใหม่ๆ ทั้งที่ติดตั้งเพื่อใช้งานทางอากาศ, ทางอวกาศ, และบนเรือเท่านั้น แต่ยังมีพวกจรวดสกัดกั้นชนิดยิงจากดาดฟ้าเรือซึ่งยังคงได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ปรับปรุงยกระดับในเรื่องความแม่นยำ เนชั่นแนล อินเทอเรสต์ กล่าว

ตัวอย่างเช่น ขีปนาวุธ SM-6 และขีปนาวุธ Evolved Sea Sparrow Missile Block II เวลานี้ได้รับการปรับปรุงทางวิศวกรรมด้วยการอัปเกรดทั้งซอฟต์แวร์และตัวเซนเซอร์ ซึ่งทำให้มันมีความสามารถในการแยกแยะและทำลาย “เป้าหมายกำลังเคลื่อนที่” ซึ่งตรงเข้ามาได้ดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น SM-6 ที่ผ่านการอัปเดรดทางเทคนิค จะบรรจุ ตัวหาเป้าหมายแบบปฏิบัติงานได้พร้อมกัน 2 โหมด (“dual-mode” seeker) เข้าไปในตัวอาวุธเลย ซึ่งทำให้มันมีความสามารถดีขึ้นในการจำแนกแยกแยะเป้าหมายต่างๆ ที่กำลังเคลื่อนที่ และปรับตัวเองระหว่างบินอยู่ให้เข้าทำลายเป้าหมายเหล่านี้

ส่วน ESSM Block II ก็มีโหมดกวาดมองพื้นที่ทะเลกว้างๆ เร็วๆ ซึ่งทำให้จรวดสกัดกั้นของมันสามารถทำลายขีปนาวุธที่ยิงเข้ามา กระทั่งขณะขีปนาวุธเหล่านี้กำลังบินขนานกับผิวน้ำในระดับความสูงต่ำๆ เนชั่นแนล อินเทอเรสต์ รายงาน

ตัวเซนเซอร์รุ่นใหม่ๆ สำหรับติดตั้งในพวกอากาศยาน อย่างเช่น โดรนรุ่นก้าวหน้า และ เครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีหลบหลีกเรดาร์ (stealth fighter) แบบ F-35C ซึ่งมีความสามารถด้านข่าวกรอง-ตรวจตรา-ลาดตระเวน (ISR-capable) ก็เช่นเดียวกัน น่าที่จะประสบความสำเร็จในการพิสูจน์ให้เห็นว่า ทรัพย์สินเพื่อการตรวจตราสอดแนมประเภทที่ปฏิบัติการทางอากาศ (aerial node) สามารถที่จะช่วยเหลือให้สัญญาณแก่ผู้บังคับการเรือผิวน้ำทั้งหลายได้ทราบถึงขีปนาวุธซึ่งกำลังพุ่งเข้ามา

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้หมายความว่า ถึงแม้ฝ่ายจีนอ้างว่าพวกขีปนาวุธพิฆาตเรือบรรทุกเครื่องบินของตน ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน “ล้าสมัย” ไปแล้ว แต่มันยังดูสมเหตุสมผลที่จะมองว่า หมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี ยังคงเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง และพูดกันให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ยังคงสามารถสร้าง “นรก” ขึ้นมาได้แน่ๆ เมื่อมีการสู้รบกัน

บางทีปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำไมพวกผู้นำกองทัพเรือสหรัฐฯยังคงพูดว่า เรือบรรทุกเครื่องบินของฝ่ายตนสามารถปฏิบัติการได้อย่างประสบความสำเร็จในสถานที่ทุกหนแห่งที่ต้องการ

หมายเหตุผู้แปล

[1] เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯทั้ง 2 ลำ ได้เข้ามาฝึกซ้อมในทะเลจีนใต้ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม จากนั้นยังเดินทางกลับมายังพื้นที่แถบนี้อีกรอบหนึ่งเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ทั้งนี้ตามคำแถลงของกองทัพเรือสหรัฐฯ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.reuters.com/article/us-southchinasea-usa-carriers/u-s-aircraft-carriers-return-to-south-china-sea-amid-rising-tensions-idUSKCN24I19W#:~:text=U.S.%20aircraft%20carriers%20return%20to%20South%20China%20Sea%20amid%20rising%20tensions,-James%20Pearson&text=The%20USS%20Nimitz%20and%20USS,to%20a%20U.S.%20Navy%20statement.)


กำลังโหลดความคิดเห็น