เอเจนซีส์ - คณะบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มระดับการปฏิบัติการต่อต้านจีนขึ้นไปอีกในวันจันทร์ (13 ก.ค.) โดยซัดจีนทำผิดกฎหมายในการอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้ทั้งหมด พร้อมประกาศชัดหนุนหลังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกับปักกิ่ง ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็ออกรายงานกลาโหมโจมตีจีนพยายามรุกล้ำน่านน้ำในทะเลจีนตะวันออก เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะเดิม ด้านจีนโต้อเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่พยายามเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกในภูมิภาค ทั้งที่เคยลั่นวาจาว่า จะไม่เลือกข้างในประเด็นขัดแย้งนี้
ในวันจันทร์ (13) ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำแถลงระบุว่า ขณะนี้อเมริกาเห็นว่า การอ้างสิทธิ์ทางทะเลของจีนนอกน่านน้ำที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับการพยายามข่มเหงรังแกประเทศอื่นๆ เพื่อเข้าควบคุมน่านน้ำเหล่านั้น และสำทับว่า โลกจะไม่ยอมให้ปักกิ่งปฏิบัติต่อทะเลจีนใต้ราวกับเป็นอาณาจักรทางทะเลของตนเอง
ที่ผ่านมา อเมริกาคัดค้านการอ้างสิทธิ์ของจีนเหนือทะเลจีนใต้ทั้งหมด ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซ อีกทั้งเป็นเส้นทางการค้าโลกที่สำคัญ ทว่า คำแถลงของพอมเพโอครั้งนี้ ถือเป็นการท้าทายจีนชัดเจนที่สุดของคณะบริหารทรัมป์
พอมเพโอยังประกาศสนับสนุนประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวมถึงฟิลิปปินส์ และเวียดนาม หลังจากหลายปีที่ผ่านมา วอชิงตันยืนยันว่า จะไม่เลือกข้างในกรณีพิพาทด้านอธิปไตยในทะเลจีนใต้
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า อเมริกาจะเคียงข้างพันธมิตรและหุ้นส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการปกป้องสิทธิ์อธิปไตยต่อทรัพยากรนอกชายฝั่งที่สอดคล้องกับสิทธิ์และหน้าที่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ปักกิ่งนั้นอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้โดยอ้างอิงแผนที่เส้นประ 9 เส้น ซึ่งถูกวิพากษ์โจมตีว่าเป็นการกำหนดอาณาเขตที่คลุมเครือโดยอิงกับแผนที่เมื่อทศวรรษ 1940 ขณะเดียวกัน ช่วงหลายปีมานี้ จีนได้สร้างฐานทัพบนเกาะเทียม ซึ่งเกิดจากการถมทะเลบริเวณเกาะปะการังหลายแห่งในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งมีข้อพิพาทช่วงชิงกรรมสิทธิ์กับหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่กับการยื้อกระบวนการทางการทูตเพื่อแก้ไขข้อพิพาทนี้ที่ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ทศวรรษ
พอมเพโอออกคำแถลงครั้งนี้เนื่องในวาระครบรอบ 4 ปี ที่ศาลอนุญาโตตุลาการในกรุงเฮกตัดสินข้อพิพาทภายใต้อนุสัญญานานาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ให้ฟิลิปปินส์เป็นฝ่ายชนะคดี และคัดค้านการอ้างอิงเส้นประ 9 เส้นของจีน เพื่อครอบครองแนวปะการังสคาร์โบโรห์และหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ ถึงแม้ปักกิ่งประกาศไม่ยอมรับคำตัดสิน โดยที่ไม่ได้เคยเข้าร่วมการต่อสู้คดีตั้งแต่ต้น
ในวันอังคาร (14) สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำวอชิงตัน ได้ออกมาตอบโต้คำแถลงของพอมเพโอ โดยบอกว่า เป็นการกล่าวหาที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง และว่า อเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในข้อพิพาทแต่กลับแทรกแซงเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน โดยใช้ข้ออ้างในการรักษาเสถียรภาพเพื่อมุ่งแผ่ขยายอิทธิพล ปลุกปั่นให้สถานการณ์ตึงเครียดและการเผชิญหน้าในภูมิภาค
คำแถลงของสถานทูตจีนแนะนำให้อเมริกาทำตามที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่เลือกข้าง และเคารพความพยายามของประเทศในภูมิภาคในการรักษาความสงบสุขและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้
ทางด้าน จู เฟิง ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาด้านทะเลจีนใต้ของมหาวิทยาลัยนานกิง ในจีน มองว่า คำแถลงของพอมเพโอเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายทะเลจีนใต้ของอเมริกา และเสริมว่า ประเทศอื่นๆ ที่ท้าทายการอ้างสิทธิ์ของจีนจะใช้วิธีแข็งกร้าวมากขึ้นหลังจากที่อเมริกาประกาศหนุนหลังประเทศนี้อย่างเปิดเผย และทำให้ภูมิภาคนี้ตึงเครียดอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี เขาไม่เห็นด้วยที่จีนจะตอบโต้อย่างรุนแรงโดยให้เหตุผลว่า นโยบายปัจจุบันต่อจีนของสหรัฐฯนั้น ไร้สาระแก่นสาร เนื่องจากถูกขับเคลื่อนจากความพยายามในการชนะการเลือกตั้งของทรัมป์ ด้วยการขยายปัญหากับจีนให้ดูใหญ่เกินจริงเพื่อปกปิดความล้มเหลวของตัวเองในการป้องกันโรคระบาด
ขณะเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง ญี่ปุ่นก็ออกมาโจมตีจีนในประเด็นข้อพิพาทด้านอธิปไตยเช่นเดียวกัน โดยในรายงานกลาโหมประจำปีฉบับทบทวนซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (14) ได้กล่าวหาว่า จีนปล่อยข้อมูลเท็จเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา และระบุว่า กิจกรรมของกองทัพเรือจีนเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก
เอกสารดังกล่าวซึ่งว่าด้วยนโยบายกลาโหมของญี่ปุ่น กล่าวหาจีนพยายามโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งรวมถึงการปล่อยข้อมูลเท็จเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาที่อุบัติขึ้นในเมืองอู่ฮั่นเมื่อปีที่แล้ว เช่น ทวีตของกระทรวงต่างประเทศจีนที่ระบุว่า กองทัพอเมริกันอาจนำไวรัสไปปล่อยในอู่ฮั่น และการกล่าวอ้างว่า สมุนไพรจีนรักษาโควิดได้
เอกสารฉบับนี้ยังกล่าวหาว่า จีนพยายามฝ่ายเดียวอย่างต่อเนื่องเพื่อเปลี่ยนสถานะเดิมด้วยการรุกล้ำน่านน้ำรอบหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งญี่ปุ่นเรียกชื่อว่าเซงกากุ แต่จีนที่อ้างกรรมสิทธิ์เช่นกันเรียกชื่อว่า เตี้ยวอี๋ว์ เอกสารระบุว่านี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้น ยังสำทับว่า ปักกิ่งทุ่มงบประมาณกลาโหมอย่างไม่โปร่งใสมานานกว่า 30 ปี