รอยเตอร์ - พวกแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย กำลังพยายามขโมยงานวิจัยวัคซีนและวิธีรักษาโควิด-19 ขององค์กร สถาบัน และบริษัทยาต่างๆ ทั่วโลก จากคำกล่าวอ้างของศูนย์ความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งสหราชอาณาจักร (NCSC) ในวันพฤหัสบดี (16 ก.ค.)
ในถ้อยแถลงร่วมจากสหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และแคนาดา ชี้เป้าว่า เหตุโจมตีต่างๆ นานาดังกล่าว เป็นฝีมือของกลุ่ม APT29 หรือรู้จักกันในอีกชื่อว่า “Cozy Bear” ซึ่งเชื่อกันว่าปฏิบัติการในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยข่าวกรองรัสเซีย
“เราขอประณามการโจมตีอันน่ารังเกียจหน่วยงานและสถาบันเภสัชกรรมต่างๆ ที่กำลังทำงานสำคัญในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” พอล ชิเชสเตอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของศูนย์ความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งสหราชอาณาจักรกล่าว
ด้าน โดมินิก ราบ รัฐมนตรีต่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักร บอกว่า “ไม่อาจยอมรับได้โดยสิ้นเชิง” ที่หน่วยข่าวกรองรัสเซียเล็งเป้าหมายไปที่การทำงานด้านโรคระบาด
“ในขณะที่สหราชอาณาจักรและพันธมิตรกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อค้นหาวัคซีนและปกป้องสุขภาพคนทั่วโลก กลับคนอื่นแสวงหาผลประโยช์ส่วนตัวด้วยพฤติกรรมที่ไม่ยั้งคิด” เขากล่าว พร้อมยืนยันว่า สหราชอาณาจักรจะร่วมมือกันพันธมิตรในการล่าตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
ศูนย์ความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งสหราชอาณาจักร บอกว่า การโจมตีของกลุ่ม APT29 ยังคงเกิดขึ้นอยู่ และใช้เครื่องมือและเทคนิคที่หลากหลาย ในนั้นรวมถึง spear-phishing (เป็นการโจมตีแบบเลือกเป้าหมาย) และแพร่กระจายมัลแวร์
“ดูเหมือนกลุ่ม APT29 จะเดินหน้าโจมตีเป้าหมายองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในขณะที่พวกเขาต้องการหาคำตอบเพิ่มเติม ในคำถามข่าวกรองเกี่ยวกับโรคระบาดใหญ่" ศูนย์ความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งสหราชอาณาจักรระบุในถ้อยแถลง
สหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ เคยระบุเมื่อเดือนเมษายนว่าเครือข่ายพวกแฮกเกอร์มีเป้าหมานเล่นงานองค์กรระดับชาติและระหว่างประเทศที่กำลังรับมือกับโรคระบาดใหญ่โควิด-19 แต่การโจมตีต่างๆ ก่อนหน้านี้ไม่พบความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับรัฐรัสเซีย
ในเวลาต่อมา ทางวังเครมลินในวันพฤหัสบดี (19 ก.ค.) ปฏิเสธคำกล่าวหาจากชาติตะวันตก ที่ว่ารัสเซียพยายามขโมยข้อมูลวัคซีนโควิด-19
โดยสำนักข่าวทาสส์นิวส์รายงานโดยอ้างคำกล่าวของ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลระบุว่ารัสเซียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกรณีพวกแฮกเกอร์โจมตีบริษัทยาและสถาบันวิจัยต่างๆ ในสหราชอาณาจักร พร้อมบอกว่า สหราชอาณาจักรไม่มีหลักฐานที่สมบูรณ์ใดๆมาสนับสนุนคำกล่าวหา