เอเจนซีส์ – ประธานสภาคองเกรสสหรัฐฯ แนนซี เพโลซี และประธานคณะกรรมาธิการด้านข่าวกรองสภาล่างสหรัฐฯ อดัม ชิฟ เมื่อวานนี้(12 ก.ค)ออกมาโจมตีผู้นำสหรัฐฯที่ใช้อำนาจของตัวเองออกคำสั่งลดโทษจำคุกรวม 40 เดือนในเรือนจำให้กับเพื่อนสนิทและที่ปรึกษาทางการเมือง โรเจอร์ สโตน ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานทางระบบยุติธรรมสหรัฐฯอย่างไม่น่าให้อภัย
VOA สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้(12 ก.ค)ว่า คืนวันศุกร์(10)ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้ โรเจอร์ สโตน ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ 3 ปี 4 เดือน (40 เดือน)ตามคำสั่งผู้พิพากษาสำหรับความผิด 7 คดีรวมโทษโกหกต่อรัฐสภาสหรัฐฯด้วยกัน ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นหลังจากที่ศาลสหรัฐฯปฎิเสธคำขอของสโตนที่ให้เลื่อนกำหนดการเข้ารับโทษจำคุกในเรือนจำที่จะต้องเริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้
อ้างอิงจาก บีบีซี สื่ออังกฤษ พบว่า เขามีความผิดจากการที่โกหกต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาล่างสหรัฐฯต่อความพยายามของเขาในการติดต่อเว็บไซต์วิกีลีกส์ ซึ่งโทษจำคุก 40 เดือนในเรือนจำนั้นน้อยกว่าที่อัยการสหรัฐฯได้ร้องขอไว้ที่ 7 -9 ปีในเรือนจำ
สโตนทำงานให้พรรครีพับลิกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุค 70 และเขายังมีรอยสักรูปอดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ที่อื้อฉาวที่ต้องลาออกก่อนที่จะถูกสภาสหรัฐฯถอดถอนออกจากตำแหน่งในคดีวอเตอร์เกต
โดยประธานสภาคองเกรสสหรัฐฯ แนนซี เพโลซี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ CNN ในวันอาทิตย์(12)ถึงคำสั่งการลดโทษให้กับเพื่อนสนิทจากผู้นำสหรัฐฯว่า “เป็นการคอร์รัปชันอย่างน่าตกตะลึง”
และเธอยังเสริมต่อว่า “ผู้คนสมควรได้รับรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่เป็นการโกหกต่อรัฐสภาคองเกรส แต่มันหมายความว่าเป็นการโกหกต่อประชาชนอเมริกัน และยังเป็นการก่อกวนพยานและอื่นๆ” ซึ่งเพโลซีได้กล่าวถึงข้อหา 7 กระทงที่ทางคณะลูกขุนได้มีคำตัดสินต่อ โรเจอร์ สโตน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่ยาวนานและที่ปรึกษาทางการเมืองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
เพโลซีกล่าวอีกว่า “นี่เป็นเรื่องของความมั่นคงชาติ”
VOA ชี้ว่าอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯในการสั่งอภัยโทษและการลดโทษนั้นในทางทฤษฎีแล้วถือว่าไม่จำกัด แต่ประธานสภาสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครตชี้ว่า เธอต้องการที่จะเสนอร่างกฎหมายที่จะจำกัดอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯในอนาคตต่อการสั่งลดโทษที่เปลี่ยนไปสู่โทษที่หนักน้อยกว่า( commute) การอภัยโทษ (pardon) หรือขอความเมตตาจากประมุขแห่งรัฐ (clemency) สำหรับใครก็ตามที่มีความผิดทางอาญาที่มีผลต่อพฤติกรรมและสิ่งที่สมควรตำหนิของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ด้านอดัม ชิฟ (Adam Schiff)ประธานคณะกรรมาธิการด้านข่าวกรองสภาล่างสหรัฐฯ ซึ่งดูแลกระบวนการถอดถอนทรัมป์ในปีที่ผ่านมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทางสถานีโทรทัศน์ ABC News ในวันอาทิตย์(12) เช่นกันว่า “ใครก็ตามในประเทศแห่งนี้ที่ยังคงรักในความเป็นนิติรัฐย่อมต้องรู้สึกอยากจะอาเจียนต่อความเป็นจริงที่ได้รับรู้ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้สั่งลดโทษจำคุกต่อบุคคลที่ได้ให้การเท็จต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ เพื่อปกปิดให้กับตัวประธานาธิบดี ข่มขู่พยาน และขัดขวางการสอบสวน”
ชิฟซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์มาอย่างยาวนานกล่าวว่า สโตน “โกหกเพื่อปกปิดและปกป้องประธานาธิบดี”
ชิฟกล่าวว่า การกระทำของทรัมป์ในคืนวันศุกร์(10)เพื่อกันไม่ให้สโตนเดินหน้าเข้าเรือนจำนั้นเป็นการกล่าวได้อย่างเดียวผ่านคำสั่งการลดโทษนี้ว่า “หากคุณโกหกเพื่อผม หากคุณปกปิดเพื่อผม หากคุณหนุนหลังผม ผมจะทำให้มั่นใจว่าคุณจะได้ฟรีการ์ดที่ได้สิทธิ์ไม่ต้องเข้าเรือนจำ”
VOA รายงานว่านอกเหนือจากแกนนำเดโมแครตแล้วปรากฎว่ามีฝ่ายพรรครีพับลิกันในวันเสาร์(11)ออกมาโจมตีทรัมป์ในเรื่องการลดโทษด้วยเช่นกันคือสว.มิตต์ รอมนีย์ (Mitt Romney)และสว. แพท ทูมีย์(Pat Toomey) และทำให้ผู้นำสหรัฐฯได้ออกมาตอบโต้คนทั้งคู่ในคืนวันเสาร์(11) โดยเรียกรอมนีย์และทูมีย์ว่า เป็นพวกไรโนส์(RINO’S) หรือเป็นแค่รีพับลิกันเพียงในนาม
ทรัมป์กล่าวปกป้องคำสั่งลดโทษของตัวเองว่า “สโตนได้รับการปฎิบัติอย่างไม่เป็นธรรม” พร้อมกับชี้ว่าเขาสมควรได้รับการไต่สวนใหม่
ด้านสว. ลินด์ซีย์ แกรม (Lindsey Graham) แกนนำรีพับลิกันอีกคนออกมาปกป้องการตัดสินใจของทรัมป์โดยกล่าวว่า “ในความคิดของผมมันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล คุณสโตนตอนนี้อยู่ในวัยราว 70 ปีและนี่เป็นความผิดที่ไม่ใช่คดีรุนแรงและเป็นความผิดครั้งแรก”
VOA ชี้ว่า โรเจอร์ สโตน เวลานี้มีอายุ 67 ปี คณะลูกขุนสหรัฐฯได้ออกคำตัดสินสั่งลงโทษสโตนในความผิด 7 ข้อหาซึ่งมีทั้งก่อกวนพยาน โกหกต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งผู้พิพากษาสั่งให้ลงโทษจำคุกเขา 40 เดือนในเรือนจำ และเขามีกำหนดต้องเข้ารับโทษในเรือนจำสัปดาห์นี้ก่อนที่ทรัมป์จะออกคำสั่งลดโทษแก่ตัวเขาแต่ไม่ได้อภัยโทษซึ่งส่งผลทำให้การจำคุกยังคงอยู่เช่นเดิม
ทั้งนี้การขอความเมตตาจากประมุขแห่งรัฐ ที่เรียกว่า clemency ถือเป็นคำสั่งครั้งที่ 36 ของประธานาธิบดีทรัมป์ และอีก 180 รายได้รับการปฎิเสธ ซึ่งคนส่วนมากที่ได้รับการอนุญาตจากทรัมป์เป็นผู้สนับสนุนทางการเมืองของเขาหรือเป็นคนที่เขารู้จัก
โดยในช่วงค่ำวันศุกร์(10)โฆษกทำเนียบขาวแถลงว่า ทรัมป์ได้ใช้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯให้ความเมตตา(clemency)ในคดีของโรเจอร์ สโตน โดยชี้ไปว่าเขาได้อยู่ในกระบวนการอาญาที่ไม่เป็นธรรม ทั้งในการจับกุมและการสอบสวน โดยโฆษกชี้ว่า สโตนตกเป็นเหยื่อคดีสมคบคิดรัสเซียที่ไม่เป็นจริงที่พวกฝ่ายซ้ายและสื่อมวลชนสหรัฐฯเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อบั่นทอนต่อความเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์