เอเจนซีส์ - มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและเจ้าของเฟซบุ๊ก ล่าสุดสูญเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ เกิดขึ้นหลังบริษัทชื่อดังไม่ต่ำกว่า 100 แห่งรวม ยูนิลิเวอร์ โค้ก ฮอนด้า บริษัทให้บริการมือถือวาไรซัน (Variason) นอร์ทเฟซ และไอศกรีมเบนแอนด์เจอร์รีย์ส รวมตัวจับมือถอนโฆษณาออกจากเฟซบุ๊ก บอยคอตเฟซบุ๊กที่อนุญาตให้เนื้อหารุนแรงแสดงถึงความคิดแนวเกลียดชัง
ฟ็อกซ์นิวส์ สื่อสหรัฐฯ รายงานเมื่อวานนี้ (27 มิ.ย.) ว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและเจ้าของเฟซบุ๊ก ซึ่งในเวลานี้มีความร่ำรวยอยู่เป็นอันดับ 4 ตามดัชนีวัดความมั่งคั่งที่มียอดความมั่งคั่งสุทธิที่ 82.3 พันล้าน ตามหลัง เจฟฟ์ เบซอส เจ้าของและผู้ก่อตั้งร้านออนไลน์แอมะซอน พบว่าเขาได้สูญเสียเงินไปไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ในชั่วพริบตา จากการที่ธุรกิจกว่า 100 บริษัทที่มีธุรกิจชื่อดังเป็นที่รู้จักเป็นต้นว่า ยูนิลีเวอร์ โค้ก ฮอนด้า บริษัทให้บริการมือถือวาไรซัน (Variason) นอร์ทเฟซ และไอศกรีมเบนแอนด์เจอร์รีย์ส ต่างพร้อมใจแห่ถอนโฆษณาออกจากเฟซบุ๊ก ประท้วงที่เฟซบุ๊กมีเนื้อหาความรุนแรงและการแสดงความเกลียดชัง
โดยบริษัทชื่อดังเหล่านี้สนับสนุนแคมเปญ #StopHate4Profit หรือ “#หยุดความเกลี่ยดชังเพื่อผลกำไร” ที่มีกลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนที่มีองค์กร ลีกต่อต้านการใส่ร้าย(Anti-Defamation League) และ NAACP เป็นผู้ออกมารณรงค์
ทั้งนี้มีหลายบริษัทได้ถอนโฆษณาออกจากทวิตเตอร์ด้วย
บริษัทไอศกรีมเบนแอนด์เจอร์รีย์ส ได้แถลงทางสาธารณะในวันพุธ (24) ว่า “เราได้หยุดลงโฆษณาทุกชิ้นที่จ่ายให้กับเฟซบุ๊กและอินสตราแกรมในสหรัฐฯ ในการสนับสนุนโครงการ “#หยุดความเกลี่ยดชังเพื่อผลกำไร” ทางเฟซบุ๊กต้องแสดงให้ปรากฏอย่างชัดเจนและเปิดเผยในการหยุดการแพร่กระจายและส่งเสริมการกีดกันทางเชื้อชาติและความเกลียดชังบนแพลตฟอร์มของตัวเอง”
ฟ็อกซ์นิวส์รายงานว่า ผู้รณรงค์แคมเปญออกมากระตุ้นให้บริษัทธุรกิจชื่อดังในสหรัฐฯ ให้พร้อมใจถอนโฆษณาออกจากเฟซบุ๊กเป็นเพราะเชื่อว่า เฟซบุ๊กเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดของกลุ่มไวท์ซูพรีมาซีตส์ (supremacist) หรือกลุ่มชาตินิยมผิวขาวที่เป็นต้นตอปัญหาการกีดกันสีผิวในสหรัฐฯ แต่เฟซบุ๊กยังไม่ลงมือกระทำมากพอที่จะหยุดการแพร่กระจายข้อความแสดงความเกลียดชังเหล่านี้
เดลีเมล์ สื่ออังกฤษชี้ว่า บริษัทโคคา-โคล่า ผู้ผลิตน้ำดำเจ้าใหญ่ของโลกเป็นบริษัทรายล่าสุดที่เข้าร่วมการบอยคอตในวันศุกร์ (26) ทั้งนี้ บริษัทโค้กแถลงว่าจะสั่งถอนโฆษณาทั่วโลกที่จ่ายเงินออกจากเฟซบุ๊กเป็นเวลา 30 วันเป็นอย่างน้อย
โดยโคคา-โคล่ากล่าวว่า ไม่มีที่สำหรับลัทธิความเกลียดชังทางเชื้อชาติบนโลกโซเชียลมีเดีย ขณะที่บริษัท ยูนิลีเวอร์ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคในครัวเรือนที่ถือเป็นผู้ลงโฆษณาสินค้าเป็นอันดับ 1 ของโลกออกมายืนยันว่าจะถอนโฆษณาออกจากเฟซบุ๊กไปจนสิ้นปีนี้
ซักเคอร์เบิร์กที่เห็นหุ้นบริษัทเฟซบุ๊กของตัวเอง 8.3% ในวันศุกร์ (26) ลดไปถึง 56 พันล้านดอลลาร์จากมูลค่าทางการตลาดของบริษัทตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างหนักต้องออกมาประกาศในวันเดียวกันนั้น (26) ถึงนโยบายใหม่เกี่ยวกับเนื้อหาบนเฟซบุ๊ก
โดยเขากล่าวผ่านไลฟ์สตรีมว่าทางบริษัทจะเริ่มต้นจัดลำดับด้วยการติดป้ายเตือน “เนื้อหาอันตราย” จากนักการเมืองที่ยังคงมีชื่อเสียงในแวดวงข่าว
เดลีเมล์กล่าวว่าถึงแม้ว่า ซักเคอร์เบิร์กจะไม่เอ่ยว่าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมา แต่นโยบายออกมาเพื่อตอบสนองต่อแคมเปญที่เรียกร้องให้เฟซบุ๊กจัดการเพิ่มมาตรการเข้มงวดต่อ “ข้อมูลเท็จ” หรือ ข่าวปลอม ในโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการโพสต์เชิงยั่วยุของทรัมป์
แต่พบว่าทวิตเตอร์คู่แข่งได้ไปไกลกว่าโดยได้แปะป้ายคำเตือนต่อบางทวีตของประธานาธิบดีทรัมป์เรียบร้อยแล้ว
ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า “เราในไม่ช้าจะติดป้ายเตือนบางเนื้อหาที่เรายังคงปล่อยให้ขึ้นเพราะมันยังดูมีคุณค่าในเชิงข่าวอยู่ ดังนั้นผู้คนจะสามารถรู้ว่ามันเป็นในกรณีนี้”
และเสริมต่อว่า “เราจะยังคงปล่อยให้ผู้คนสามารถแชร์เนื้อหาเพื่อที่จะได้ประณามมัน เหมือนกับที่เราได้ทำกับคอนเทนต์อื่นที่มีปัญหา เพราะนี่เป็นส่วนสำคัญของการที่เราจะถกเถียงถึงสิ่งใดบ้างที่จะเป็นที่ยอมรับในสังคมของเรา แต่เราจะเพิ่มคำเตือนเพื่อที่จะบอกให้ผู้คนรับรู้ว่าคอนเทนต์ที่พวกเขากำลังแชร์อยู่นั้นอาจละเมิดต่อนโยบายของเรา”
นอกจากนี้ ในไลฟ์สตรีม ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กยังประกาศการกวาดล้างการใช้ภาษาที่ส่อถึงความเกลียดชังในโฆษณา รวมไปถึงคำแนะนำต่อข้อมูลการใช้สิทธิเลือกตั้ง
ด้าน เรชาด โรบินสัน (Rashad Robinson) ประธานกลุ่มสีแห่งการเปลี่ยนแปลง (Color of Change) ออกมาแสดงความผิดหวังในการแถลงของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก โดยชี้ว่า แถลงการณ์ของซักเคอร์เบิร์กเป็นเวลา 11 นาทีนั้นได้สูญเสียโอกาสที่จะทำการเปลี่ยนแปลง
“ผมหวังว่าบริษัทที่ลงโฆษณาบนเฟซบุ๊กจะได้ดู หากพวกเขาต้องการจ่ายเงินในที่พวกเขาได้แสดงถึงความยุติธรรมทางเชื้อชาติแล้ว ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำ “#หยุดความเกลียดชังเพื่อผลกำไร” โรบินสันกล่าวผ่านทางทวิตเตอร์
เดลีเมล์รายงานว่า ยูนิลีเวอร์ ได้กระโดดเข้าร่วมวงบอยคอยต้นสัปดาห์นี้ที่ทำให้เฟซบุ๊กกระเทือนเกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของ “จอร์จ ฟลอยด์” และทำให้บรรดานักเคลื่อนไหวในสหรัฐฯ ร่วมมือผลักดัน #StopHate4Profit ให้เกิดขึ้น
ยูนิลีเวอร์มีงบการโฆษณาประจำปีทั่วโลกเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์ และในวันพฤหัสบดี (25) บริษัทผู้ให้บริการมือถือยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ วาไรซัน เข้าร่วมบอยคอต