รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – วันนี้(16 มิ.ย) เปียงยางทำลายสำนักงานประสานงานร่วม 2 ชาติเกาหลีที่เมืองแกซองพรมแดนติดเกาหลีใต้ที่ถูกปิดไปตั้งแต่มกราคมต้นปี เกิดขึ้นหลังกองทัพเปียงยางออกมาข่มขู่พร้อมที่จะส่งกองกำลังมาที่เส้นแบ่งเขตแดน 2 ชาติเกาหลี ด้านรัสเซียแสดงความวิตกสถานการณ์ความตรึงเครียดบริเวณคาบสมุทรเกาหลี ยืนยันมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิด ทำเนียบสีน้ำเงินของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ประกาศ "ระเบิดสนง.ประสานงานร่วม" เหมือนเป็นการทรยศต่อความคาดหวังของความคืบหน้าความสัมพันธ์ 2 ชาติเกาหลีใต้และสันติภาพบนคาบสมุทร
รอยเตอร์รายงานวันนี้(16 มิ.ย)ว่า ศูนย์ประสานงานร่วม 2 ชาติเกาหลีที่ตั้งอยู่ในเขตเกาหลีเหนือที่เมืองแกซองนั้นถือเป็นเสมือนสถานทูตของ 2 ชาติเกาหลีไปโดยปริยาย สำนักข่าวทางการเกาหลีเหนือ KCNA รายงานว่า สำนักงานแห่งนี้ที่ถูกสั่งปิดไปตั้งแต่มกราคมต้นปีที่ผ่านมา “ถูกทำลายอย่างรุนแรงด้วยระเบิดที่ทรงอนุภาพ”
ภาพจากกล้องทีวีวงจรปิดที่เป็นขาวดำซึ่งถูกเปิดเผยโดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้แสดงให้เห็นการระเบิดขนาดใหญ่ที่ทำให้อาคารขนาด 4 ชั้นถล่มลงมา และแรงระเบิดยังส่งผลกระทบต่ออาคารขนาด 15 ชั้นที่อยู่ใกล้ให้เกิดถล่มตามไปด้วย ซึ่งอาคารแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่อาศัยของเจ้าหน้าที่ฝั่งเกาหลีใต้ที่ทำงานประจำสำนักงานประสานงานร่วม
สำนักงานประสานงานที่ทำหน้าที่คล้ายกับสถานทูตของ 2 ชาติเกาหลีไปกลายๆและการทำลายสำนักงานแห่งนี้รอยเตอร์กล่าวว่า เป็นเสมือนการถอยหลังครั้งร้ายแรงต่อความพยายามของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มุน แจ-อิน ที่มีความต้องการให้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง
สภาความมั่นคงแห่งชาติเกาหลีใต้ประชุมฉุกเฉินทันทีในวันอังคาร(16) และแถลงยืนยันว่า ทางเกาหลีใต้จะตอบโต้อย่างแข็งกร้าว หากว่าเกาหลีเหนือยังคงที่จะไม่หยุดสร้างความตรึงเครียดให้เกิดขึ้น
“เราขอประกาศอย่างชัดเจนว่าฝ่ายเหนือจะต้องรับผิดชอบทั้งหมดต่อผลที่ตามมาที่จะเกิดขึ้น”
KCNA กล่าวถึงสาเหตุการทำลายสำนักงานประสานงานร่วม 2 ชาติเกาหลีว่า เพื่อบังคับให้มนุษย์ที่น่ารังเกียจและคนเหล่านี้ที่ให้ที่อาศัยแก่พวกมนุษย์ที่น่ารังเกียจต้องจ่ายราคาแพงต่อผลอาชญากรรมที่ทำ โดยมนุษย์ที่น่ารังเกียจ นี้ฝ่ายเกาหลีเหนือหมายความถึง "กลุ่มเกาหลีแปรพักตร"
CNN รายงานว่า เจ้าหน้าที่จากทำเนียบสีน้ำเงินของประธานาธิบดีมุน แจ-อินของเกาหลีใต้ออกมาประณามการตัดสินใจการระเบิดสำนักงานแห่งนี้ที่ถูกใช้เป็นสถานที่การเจรจาระหว่าง 2 ชาติเกาหลีว่า เหมือนเป็นการกระทำอย่างทรยศต่อความคาดหวังของผู้คนที่ต้องการเห็นความคืบหน้าความสัมพันธ์ 2 ชาติเกาหลีใต้และการถือกำเนิดของสันติภาพบนคาบสมุทร
ทั้งนี้แหล่งข่าวทางการทหารของเกาหลีใต้เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า มีสัญญาณถูกส่งออกมาให้รับรู้ว่าทางเกาหลีเหนือจะทำการทำลายก่อนหน้าในช่วงต้นของวัน โดยเจ้าหน้าที่ทหารเกาหลีใต้ได้มอนิเตอร์การระเบิดจากกล้องทีวีวงจรปิดและเห็นอาคารถล่มลงมา
ทั้งนี้สำนักงานแห่งนี้ถูกตั้งให้เป็นสำนักงานประสานงานร่วมมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่มีเป้าหมายในการลดความตรึงเครียดระหว่างกัน โดยทางโซลได้ใช้เงินไม่ต่ำกว่า 9.78 พันล้านวอน หรือราว 836 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 เพื่อปรับปรุงอาคารที่เป็นกระจกสีน้ำเงินตั้งวเด่นอยู่ในกลางเมืองฮับอุตสาหกรรมแกซอง
รอยเตอร์ชี้ว่า เมื่อมีการปิดสำนักงานประสานงานไปเมื่อมกราคมที่ผ่านมา ทางเกาหลีใต้กล่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 58 คน
ทั้งนี้ในช่วงต้นของวันอังคาร(16) สำนักข่าวทางการเกาหลีเหนือได้รายงานการแถลงของกองทัพเกาหลีเหนือที่ระบุว่า ทางกองทัพพร้อมที่จะส่งกำลังทหารเข้าสู่เขตเส้น DMZ ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่าง 2 ชาติเกาหลี และในเวลานี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาแผนการปฎิบัติเพื่อที่จะเคลื่อนกองกำลังเข้าสู่โซนปลอดเขตทหาร
อ้างอิงจากบีบีซี และหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ คณะเสนาธิการทหารกล่าวว่า อยู่ในการเตรียมความพร้อมขั้นสูงสุด และพร้อมที่จะปฎิบัติอย่างรวดเร็วต่อการตัดสินใจใดๆที่มาจากรัฐบาล KCNA ของเกาหลีเหนือรายงาน นอกจากนี้ในรายงานทางกองทัพเกาหลีเหนือจะส่งชุดโฆษณาชวนเชื่อของตัวเองเข้าไปที่เกาหลีใต้เพื่อตอบโต้การโปรยใบปลิวบริเวณพรมแดนของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเกาหลีเหนือแปรพักตร
ขณะเดียวกันโฆษกเครมลินของรัสเซีย ดมิตรี เพสคอฟ ได้ออกมาแถลงถึงสถานการณ์ความตรึงเครียดที่เกิดขึ้นว่า ทางรัสเซียมีความวิตกต่อสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี และเฝ้าจับตาการพัฒนาของสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
สื่ออังกฤษชี้ว่า ความตรึงเครียดล่าสุดเกิดมาจากการที่เปียงยางออกมาประณามโซลที่ไร้ความสามารถในการป้องกันไม่ให้กลุ่มเกาหลีเหนือแปรพักรให้โปรยใบปลิวต่อต้านรัฐบาลเปียงยางบริเวณพรมแดน แต่บีบีซีวิเคราะห์ว่า นี่อาจจะเป็นข้ออ้างจากเกาหลีเหนือเท่านั้น
บีบีซีรายงานว่า ผู้นำเกาหลีเหนือ ประธานาธิบดี คิม จองอึนไม่สามารถนำความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมาสู่ประชาชนเกาหลีเหนือของตัวเองได้ และอีกทั้งมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือที่เข้มงวดยังคงอยู่ตามเดิม และอีกทั้งยังมีข่าวลืออกมาเป็นระยะว่า การระบาดโรคโควิด-19ได้เล่นงานพื้นที่ห่างไกลในเกาหลีเหนือ ซึ่งการสร้างศัตรูร่วมจะถือเป็นการหันเหความสนใจของประชาชนชาวเกาหลีเหนือได้ดี