รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - กม.หมิ่นเพลงชาติจีนของสภานิติบัญญัติฮ่องกง ได้รับการโหวตให้ผ่านไปในวันนี้ (4 มิ.ย.) หลังมีการหยุดไปชั่วคราวจากการที่มี ส.ส ฝ่ายประชาธิปไตยฮ่องกง 2 คน ก่อหวอดประท้วงการปราบปรามจัตุรัสเทียนอันเหมินของกองทัพจีนเมื่อ 31 ปีก่อนหน้า ที่มีหนึ่งในนั้นได้เทของเหลวที่มีกลิ่นเหม็นใส่สภา และส่งผลทำให้มีการเรียกตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้ามา ด้าน โจชัว หว่อง ผู้นำกลุ่มประท้วงร่มเหลืองยืนยันว่า เขาจะไม่ย้ายไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ และไม่มีพาสปอร์ตชาวอังกฤษโพ้นทะเล BNO พร้อมเรียกร้องให้ทั่วโลกคว่ำบาตรจีน
รอยเตอร์รายงานวันนี้ (4 มิ.ย.) ว่า ล่าสุด ถึงมีการขวางการประชุมสภาถึงขั้นต้องมีการหยุดการประชุมชั่วคราวและมีการเรียกตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้ามาช่วงบ่าย แต่ทว่า สภานิติบัญญัติฮ่องกงที่เรียกว่า สภาเลกโก (LEGCO) ได้ผ่านกฎหมายหมิ่นเพลงชาติจีนแล้วในวันพฤหัสบดี (4) ส่งผลทำให้การกระทำใดๆ ที่ไม่เป็นการแสดงความเคารพต่อเพลงชาติจีนนั้นจะถือมีความผิดทางกฎหมาย
รอยเตอร์ชี้ว่า เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่มีการมองว่าเป็นการกระชับอำนาจของจีน
และสิ่งที่ออกมาอาจจะทำให้เกิดการประท้วงรอบใหม่ ท่ามกลางการส่งกำลังตำรวจปราบจลาจลไม่ต่ำกว่า 3,000 นาย เข้าตรึงกำลังทั่วเมืองในวันนี้ (4) สำหรับการบังคับใช้คำสั่งห้ามการจุดเทียนไว้อาลัยครบรอบการรำลึกการปราบปรามจัตุรัสเทียบอันเหมิน 31 ปี โดยอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยทางสาธารณสุขเป็นสำคัญ หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงาน
ทั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ตำรวจฮ่องกงสั่งห้ามพิธีจุดเทียนไว้อาลัยเหตุการณ์ปราบปรามที่เทียนอันเหมิน
การผ่านร่างกฎหมายหมิ่นกฎหมายเพลงชาติจีนเต็มไปด้วยความฉุกละหุกมีการประท้วงขัดขวางนานร่วมชั่วโมง CNN สื่อสหรัฐฯชี้
รอยเตอร์รายงานว่า ส.ส เอ็ดดี ฉู (Eddie Chu) และ ส.ส เรย์ ชาน (Ray Chan) ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยฮ่องกงได้เปิดฉากการประท้วงด้วยการวิ่งไปที่ด้านหน้าที่ประชุมระหว่างเพื่อนสมาชิกำลังอภิปราย และสาดของเหลวมีกลิ่นเหม็นออกไปทันที ส่งผลทำให้การ์ดตรงเข้ามารวบตัวคนเหล่านี้ไว้
และหลังจากนั้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้ามาภายในห้องประชุม
ส.ส. ฉู กล่าวว่า “รัฐฆาตกรเน่าเหม็นตลอดไป สิ่งที่พวกเราทำในวันนี้ เพื่อเตือนให้โลกรู้ว่าเราไม่ควรให้อภัยพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการฆ่าประชาชนตัวเองเมื่อ 31 ปีก่อนนี้”
ซึ่งหลังจากที่ กม.มีผลบังคับใช้หากมีผู้กระทำผิดดูหมิ่นเกิดขึ้นจะต้องถูกลงโทษนาน 3 ปีสูงสุดในเรือนจำ และหรือถูกปรับเป็นเงิน 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 6,400 ดอลลาร์
ขณะเดียวกัน โจชัว หว่อง ผู้นำการประท้วงประชาธิปไตยร่มเหลืองฮ่องกงให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์ก สื่อธุรกิจ วันนี้ (4) เมื่อถูกถามว่า คิดว่าฮ่องกงเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และเขาตอบกลับมาว่า ระบบหนึ่งประเทศสองระบบของฮ่องกงถูกกัดกร่อนอย่างร้ายแรง โดยปักกิ่งให้กลายเป็นหนึ่งประเทศหนึ่งระบบ
ที่ปักกิ่งเป็นผู้ผิดสัญญาต่อคำประกาศแถลงร่วมไซโน-บริติช (Sino-British Joint Declaration) และเป็นการกัดกร่อนเสรีภาพขั้นพื้นฐานของฮ่องกง และจะส่งผลอย่างจังต่อธุรกิจต่างชาติและประเทศทั่วโลก
บลูมเบิร์กรายงานว่า ในการสัมภาษณ์อีกครั้งของหว่องกับสื่อบลูมเบิร์ก เขากล่าวยืนยันว่า เขาจะไม่ย้ายออกไปอาศัยในต่างประเทศ เพราะฮ่องกงเป็นบ้านของเขา แต่เขามีความปรารถนาให้อังกฤษภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ประกาศคว่ำบาตรต่อปักกิ่ง
“ผมไม่มีแผนที่จะย้ายออกไป ฮ่องกงเป็นบ้านของผม” หว่องกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กวันนี้ (4) หลังจากถูกถามว่าเขาจะร้องขอการลี้ภัยต่ออังกฤษหรือไม่
หว่องตอบกลับมาว่า “เราจำเป็นต้องลุกขึ้นและสู้กลับ”
หว่องเปิดเผยว่า ประชาชนชาวฮ่องกงยินดีต่อการเสนอของจอห์นสันที่ประกาศจะให้สัญชาติต่อประชาชนชาวฮ่องกงจำนวน 3 ล้านคนที่มีสิทธิ์ถือหนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษโพ้นทะเล BNO (British National Overseas passport)
แต่เขาชี้ว่า สถานการณ์ในเวลานี้นั้นมีความเหมาะสมสำหรับอังกฤษที่ต้องกดดันจีนให้ล้มเลิกการใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่กับฮ่องกง
สำหรับตัว โจชัว หว่อง วัย 23 ปี เขากล่าวว่า เขาไม่มีหนังสือเดินทาง BNO ซึ่งทางอังกฤษได้เปิดโอกาสให้พลเมืองฮ่องกงลงทะเบียนเพื่อขอรับก่อนการส่งมอบเกาะปี 1997
ด้านสถานทูตจีนประจำกรุงลอนดอนออกแถลงวันนี้ (4) ตอบโต้ข้อเสนอให้สัญชาติชาวฮ่องกงของนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่า เป็นการละเมิดคำมั่นสัญญาของอังกฤษที่ว่าพลเมืองฮ่องกงที่มีสิทธิได้รับหนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษโพ้นทะเลนั้นจะไม่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในอังกฤษได้
จีนกล่าวว่า ความพยายามถูกทำขึ้นในข้อตกลงความเข้าใจ MOU ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ร่วมไซโน-บริติช ปี 1984 นั้นเป็นการปูทางเพื่อให้ฮ่องกงกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจีน
สถานทูตจีนกล่าวว่า “ผมอยากจะขอชี้ว่าอังกฤษได้เสนอตัวอย่างเด่นชัดใน MOU ที่แลกเปลี่ยนกับจีนว่า ผู้ถือหนังสือเดินทาง BNO นั้นคือ พลเมืองจีนที่อาศัยในฮ่องกงจะไม่ได้รับสิทธิ์ให้อาศัยอยู่ในอังกฤษ”
พร้อมกับยืนยันว่า หากว่าอังกฤษทำการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้นจะไม่เพียงแต่ผิดคำพูดของตัวเองในจุดยืนแต่ยังเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ