xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: สหรัฐฯ ขู่ปลด ‘ฮ่องกง’ พ้นสถานะพิเศษ-ชี้ไม่เหลืออำนาจปกครองตนเอง หลังจีนจ่อใช้ ‘กม.ความมั่นคง’ สยบม็อบ ปชต.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ตำรวจฮ่องกงเข้าขัดขวางไม่ให้กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยทำการปิดถนนในย่านมงก๊ก ระหว่างที่สภานิติบัญญัติกำลังมีการอภิปรายร่างกฎหมายห้ามดูหมิ่นเพลงชาติจีน เมื่อวันที่ 27 พ.ค.
สหรัฐฯ ขู่จะเพิกถอนสถานะพิเศษของเกาะฮ่องกง ภายใต้กฎหมายอเมริกัน ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองในฮ่องกงที่กลับมาทวีความร้อนระอุอีกครั้ง หลังจีนประกาศแผนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ซึ่งถูกมองว่าเป็นความพยายามปิดกั้นการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยบนเกาะศูนย์กลางการเงินแห่งนี้

ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศในวันพุธ (27 พ.ค.) ว่า ตนได้แจ้งไปยังสภาคองเกรสแล้วว่าฮ่องกงไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าตามกฎหมายสหรัฐฯ อีกต่อไป เนื่องจากจีนไม่ได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครั้งรับมอบเกาะฮ่องกงคืนจากสหราชอาณาจักร

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่รัฐสภาจีนจะลงมติครั้งสำคัญ เพื่อบังคับใช้กฎหมายด้านความมั่นคงฉบับใหม่ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ขณะที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก็ออกมาเตือนในวันเดียวกันว่า ฮ่องกงอาจสูญเสียสถานะศูนย์กลางการเงินโลก หากเสรีภาพและความเป็นอิสระทางตุลาการถูกลิดรอน พร้อมขู่ว่าอเมริกาจะมีมาตรการตอบโต้กฎหมายความมั่นคงของจีนเร็วๆ นี้

“ครั้งหนึ่งสหรัฐฯ เคยหวังว่า ความเสรีและความรุ่งเรืองของฮ่องกงจะเป็นต้นแบบให้แก่ระบอบเผด็จการจีน แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า จีนกำลังเป็นต้นแบบให้แก่ฮ่องกงเสียเอง” พอมเพโอ ระบุ “จากข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในวันนี้ คงไม่มีวิญญูชนคนไหนสามารถยืนยันได้ว่าฮ่องกงยังคงได้รับอำนาจปกครองตนเองขั้นสูงจากจีน”

“สหรัฐฯ ขอยืนหยัดเคียงข้างพลเมืองฮ่องกง ในขณะที่พวกเขาต้องต่อสู้กับความเคลื่อนไหวของจีนที่พยายามปฏิเสธอำนาจปกครองตนเองของฮ่องกงตามที่เคยให้สัญญาไว้”

ล่าสุด ประธานาธิบดี ทรัมป์ ออกมาเผยเมื่อวันวันศุกร์ (29) ว่า ตนได้สั่งการให้รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มต้นกระบวนการเพิกถอนสถานะพิเศษทางการค้าที่มอบแก่เกาะฮ่องกงแล้ว และยังลงนามในประกาศฉบับหนึ่งซึ่งจะปกป้องงานวิจัยสำคัญๆ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม ด้วยการระงับการเดินทางเข้าประเทศของนักศึกษาชาวจีนบางส่วนที่ถูกระบุว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

สัปดาห์ที่แล้ว ปักกิ่งได้ประกาศแผนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่ ซึ่งจะมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ปลุกระดมเรียกร้องเอกราช, บ่อนทำลายรัฐ หรือทำกิจกรรมก่อการร้าย ซึ่งกฎหมายนี้จะเปิดทางให้หน่วยข่าวกรองจีนเข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการอย่างเปิดเผยในฮ่องกงได้เป็นครั้งแรกด้วย

แผนของจีนได้นำมาสู่การเดินขบวนคัดค้านในฮ่องกงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค. ซึ่งถือเป็นการชุมนุมประท้วงใหญ่ครั้งแรกของชาวฮ่องกงในรอบหลายเดือน

ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, อังกฤษ, แคนาดา และอีกหลายประเทศได้แสดงความกังวลว่ากฎหมายความมั่นคงจะทำลายสถานะพิเศษของฮ่องกง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีเสรีภาพมากที่สุดในจีน และยังเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญของโลก ขณะที่จีนและฝ่ายบริหารฮ่องกง ยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจปกครองตนเองขั้นสูงของฮ่องกง และจะมีขอบเขตการบังคับใช้ที่ชัดเจน

“มันจะเป็นไปเพื่อเสถียรภาพของฮ่องกงและจีนในระยะยาว โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพในการรวมตัว หรือการแสดงออก และไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้นต่อความเป็นศูนย์กลางการเงินของฮ่องกง” แมทธิว เฉิง หัวหน้าคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลฮ่องกง ระบุ “มันจะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจด้วย”

ทั้งนี้ คาดว่า สภาประชาชนแห่งชาติจีนซึ่งอยู่ระหว่างการประชุมใหญ่ประจำปีที่กรุงปักกิ่งจะลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ที่จะบังคับใช้กับฮ่องกงในวันที่ 28 พ.ค.

ผู้ประท้วงฮ่องกงมองว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นการลิดรอนเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพวกเขา ขณะที่ปักกิ่งยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้จะสนับสนุนให้เกิดความรักชาติ

สนธิสัญญาซึ่งจีนและอังกฤษร่วมลงนามเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ปี 1984 กำหนดให้ฮ่องกงได้มีอำนาจปกครองตนเองขั้นสูงต่อไปเป็นระยะเวลา 50 ปี ภายหลังจากที่อังกฤษส่งมอบเกาะอาณานิคมแห่งนี้กลับสู่อ้อมอกจีนในปี 1997

ข้อตกลงฉบับนี้มีส่วนทำให้ฮ่องกงก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการเงินระดับเวิลด์คลาส และยังเป็นช่องทางให้บริษัทจีนเข้าถึงแหล่งเงินกู้อีกด้วย ทว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้เกิดการลุกฮือประท้วงโดยกลุ่มคนหนุ่มสาวฮ่องกงอยู่เนืองๆ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับจีน

สภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายที่มุ่งสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวฝักใฝ่ประชาธิปไตยฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว โดยกำหนดให้รัฐบาลวอชิงตันต้องรับรองว่าดินแดนแห่งนี้ยังคงมีอำนาจปกครองตนเองขั้นสูง เพื่อรักษาสถานะพิเศษด้านการค้ากับอเมริกาไว้

เดวิด สติลเวลล์ เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า การตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

“สหรัฐฯ จะพิจารณามาตรการต่างๆ โดยเจาะจงเป้าหมายให้จีนต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม” สติลเวลล์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน พร้อมยอมรับว่า การจะบังคับให้ปักกิ่งเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ต้องการสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนชาวฮ่องกง

แหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนามให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ ว่า สหรัฐฯ อาจยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับสินค้าฮ่องกงที่ส่งไปขายในอเมริกา และอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ หน่วยงาน และภาคธุรกิจจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง


โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ยืนยันว่า ปักกิ่งจะมีมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นต่อการแทรกแซงจากต่างชาติในกรณีที่เกี่ยวกับการออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่

มาตรการของสหรัฐฯ มีขึ้นในวันเดียวกับที่ชาวฮ่องกงออกมาแสดงพลังคัดค้านการพิจารณาร่างกฎหมาย “ห้ามดูหมิ่นเพลงชาติจีน” ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออก

ตำรวจฮ่องกงหลายพันนายได้ตรึงกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย และนำแท่งแบริเออร์ไปปิดกั้นรอบๆ สภานิติบัญญัติในวันพุธ (27 พ.ค.) ระหว่างที่มีการพิจารณาร่างกฎหมายดูหมิ่นเพลงชาติซึ่งกำหนดระวางโทษจำคุก 3 ปี และปรับสูงสุด 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 200,000 บาทสำหรับผู้ฝ่าฝืน

การตรึงกำลังหนาแน่นของตำรวจทำให้ผู้ประท้วงไม่สามารถรวมตัวขัดขวางการพิจารณาร่างกฎหมายในสภานิติบัญญัติได้ แต่ก็มีคนจำนวนมากไปรวมตัวกันในย่านใจกลางเมือง พร้อมป่าวร้องสโลแกน “ปลดปล่อยฮ่องกง! การปฏิวัติแห่งยุคสมัยของเรา” และ “เอกราชฮ่องกงคือทางออกเดียว” โดยมีรายงานการเกิดแฟลชม็อบกระจายอยู่ในย่านคอสเวย์เบย์, มงก๊ก และเซ็นทรัล และมีการปะทะเกิดขึ้นจนตำรวจต้องยิงกระสุนพริกไทยเพื่อควบคุมฝูงชน

ตำรวจฮ่องกงจับกุมผู้ต้องสงสัยชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ราว 240 คน ซึ่งมีวัยรุ่นปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก

“มันเป็นการเคอร์ฟิวกลายๆ แล้ว” เนธัน ลอว์ นักเคลื่อนไหเพื่อวประชาธิปไตยฮ่องกง บอกกับเอเอฟพี “ผมว่ารัฐบาลควรทำความเข้าใจว่าทำไมประชาชนถึงได้โกรธแค้นมาก”

ตำรวจยืนยันว่าพวกเขา “เคารพสิทธิของประชาชนในการแสดงความเห็นอย่างสันติ แต่ต้องกระทำอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย” ในขณะที่ผู้ประท้วงบางกลุ่มมีการปิดถนนซึ่งถือว่าก่อกวนความสงบเรียบร้อย

จีนพยายามควบคุมสถานการณ์ในฮ่องกงไม่ให้ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นการประท้วงใหญ่ซ้ำรอยปีที่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากความพยายามใช้ช่องทางฟาสต์แทร็กผลักดันกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งสุดท้ายรัฐบาลฮ่องกงถูกผู้ชุมนุมกดดันหนักต้องยอมถอนร่างกฎหมายดังกล่าว

รัฐบาลฮ่องกงพยายามผลักดันกฎหมายห้ามดูหมิ่นเพลิงชาติ หลังมีชาวฮ่องกงจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะพวกแฟนบอล ที่มักจะส่งเสียงโห่ร้องเวลาได้ยินเพลงชาติจีน “March of the Volunteers” เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านอำนาจของปักกิ่ง

สมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงฝ่ายโปรจีนและฝ่ายหนุนประชาธิปไตยมีการโต้เถียงเกี่ยวกับร่างกฎหมายนี้มาแล้วหลายครั้ง โดยการประชุมเมื่อวันพุธ (27) เป็นการพิจารณาร่างกฎหมายในวาระที่ 2 ส่วนวาระที่ 3 คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งหากผ่านการรับรองก็จะบังคับใช้เป็นกฎหมายได้

เฉิง ให้สัมภาษณ์ในวันพุธ (27) ว่า รัฐบาลฮ่องกงมุ่งมั่นที่จะผ่านร่างกฎหมายห้ามดูหมิ่นเพลิงชาติจีนโดยเร็วที่สุด และย้ำว่า “พลเมืองฮ่องกงทุกคนย่อมมีพันธกิจทางศีลธรรมที่จะต้องให้เกียรติเพลงชาติ”

จีนตราหน้าการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงว่า เป็น “แผนยุยงของต่างชาติ” เพื่อบ่อนทำลายแผ่นดินแม่ ขณะที่ฝ่ายนักเคลื่อนไหวยืนยันว่าการประท้วงซึ่งมีคนเข้าร่วมนับล้านๆ เป็นหนทางเดียวที่พวกเขาจะส่งเสียงคัดค้านผู้มีอำนาจ ตราบใดที่ฮ่องกงยังไม่มีระบบเลือกตั้งเสรี

หัว โป (Hua Po) นักวิเคราะห์การเมืองอิสระในกรุงปักกิ่ง ให้ความเห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลจีนทำอยู่ตอนนี้เกิดจากความหวาดกลัวว่าคนหนุ่มสาวฮ่องกง “จะไม่ยอมรับระบอบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์”

“ถ้าปักกิ่งควบคุมฮ่องกงไว้ไม่ได้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่อาจรุนแรงมาก ดังนั้น นโยบายที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะมีต่อฮ่องกงในอนาคตจึงเป็นการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ ทว่าคุมเข้มในทางการเมือง”

องค์กรภาคธุรกิจในสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้ ทรัมป์ ใช้มาตรการตอบโต้จีนแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” และเตือนว่าการถูกเพิกถอนสิทธิพิเศษทางการค้าจะกระทบต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชาวฮ่องกงอย่างมาก

ปัจจุบันมีบริษัทอเมริกันราว 1,300 แห่งเข้าไปดำเนินธุรกิจอยู่ในฮ่องกง และมีชาวอเมริกันอาศัยอยู่บนเกาะศูนย์กลางการเงินแห่งนี้มากถึง 85,000 คน






กำลังโหลดความคิดเห็น