รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯในวันศุกร์(29พ.ค.) เผยว่าสั่งการให้รัฐบาลเริ่มกระบวนการเพิกถอนสถานะพิเศษทางเศรษฐกิจที่มอบแด่ฮ่องกง ตอบโต้ความเคลื่อนไหวของจีนที่มีแผนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง
ในถ้อยแถลงที่ทำเนียบขาว ทรัมป์ระบุว่าจีนผิดคำพูดเกี่ยวกับอำนาจปกครองตนเองของฮ่องกง และบอกว่าความเคลื่อนไหวของปักกิ่งในประเด็นฮ่องกงเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับประชาชนชาวฮ่องกง, จีนและทั้งโลก
"เราจะดำเนินการเพื่อถอนสถานะพิเศษของฮ่องกง" พร้อมระบุว่าสหรัฐฯจะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานบุคคลต่างๆที่พวกเขาเห็นว่าอยู่เบื้องหลังความพยายามกัดกร่อนอำนาจปกครองตนเองของฮ่องกง
ความเคลื่อนไหวของทรัมป์มีขึ้นหลังจากจีนมีแผนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในอดีตอาณานิคมของอังกฤษ และหลังจากที่ ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ บอกว่าไม่สามารถรับรองได้แล้วว่าฮ่องกงมีสิทธิปกครองตนเองในระดับสูง ซึ่งจะปูทางสู่การยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้าและเศรษฐกิจที่สหรัฐฯมอบให้แก่เกาะแห่งนี้
ทรัมป์บอกว่าได้สั่งการให้รัฐบาลของเขาเริ่มกระบวนการยกเลิกข้อตกลงทางนโยบายต่างๆเกี่ยวกับฮ่องกง ไล่ตั้งแต่การส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปจนถึงควบคุมการส่งออก
นอกจากนี้แล้ว ทรัมป์ยังได้ลงนามในประกาศฉบับหนึ่งในวันศุกร์(29พ.ค.) ซึ่งจะปกป้องงานวิจัยสำคัญๆของมหาวิทยาลัยต่างๆได้ดีกว่าเดิม ด้วยการระงับการเดินทางเข้าประเทศของนักศึกษาชาวจีนบางส่วนที่ถูกระบุแล้วว่าเป็นภัยต่อความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯมีแผนที่จะยกเลิกวีซ่าของนักวิจัยของจีน และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาจีนจำนวนหลายพันคนในสหรัฐฯ ที่มีความเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยต่างๆของจีนที่มีความสัมพันธ์กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ)
การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อนักศึกษาจีนจำนวน 3,000-5,000 คนจากทั้งหมดที่กำลังศึกษาในสหรัฐฯจำนวน 360,000 คน ซึ่งนักศึกษาจีนที่ถูกยกเลิกวีซ่าจะต้องเดินทางกลับประเทศ และผู้ที่อาศัยอยู่นอกสหรัฐฯจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าสหรัฐฯ
แหล่งข่าวระบุว่า เป้าหมายของการดำเนินการในครั้งนี้ก็เพื่อกวาดล้างการจารกรรมและขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งชาวจีนอาจกระทำผ่านมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ
ความเคลื่อนไหวมีขึ้นแม้มีเสียงคัดค้านจากบรรดามหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ เนื่องจากนักศึกษาจีนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่สหรัฐฯมากถึง 14,000 ล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่มาจากค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมต่างๆ