เอเจนซีส์/รอยเตอร์/MGR ออนไลน์ - ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศวันเสาร์ (30 พ.ค.) พร้อมส่งกองทัพสหรัฐฯ เข้าไปควบคุมสถานการณ์ที่เมืองมินนีอาโปลิส รัฐมินเนโซตา หลังความรุนแรงได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ มีผู้ประท้วงถูกยิง 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย ด้านฟิโลนิส ฟลอยด์ พี่ชายของผู้เสียชีวิตแถลง ครอบครัวต้องการให้ตำรวจผิวขาวต้นเรื่องถูกดำเนินคดีข้อหาฆ่าคนโดยเจตนาไม่ใช่ข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาอย่างที่เป็นอยู่พร้อมเปิดเผยได้คุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดีทรัมป์แต่ไม่มีโอกาสได้พูด ส่วนร้านกระเป๋าแบรนด์หรู หลุยส์วิตตอง ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ถูกกลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าไปขโมยสินค้า
NBC NEWS สื่อสหรัฐฯ รายงานวันนี้ (31 พ.ค.) ว่า การใช้กองกำลังทหารสหรัฐฯ นั้นปกติมักจะถูกห้ามใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศแต่ทว่ากฎหมายปี 1807 (Insurrection Act of 1807) หรือเมื่อยุคอเมริกายังสร้างชาติ เปิดโอกาสให้สภาคองเกรสระดับรัฐหรือผู้ว่าการรัฐสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯได้
โดยในบ่ายวันเสาร์ (30) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวระหว่างออกเดินไปรัฐฟลอริดาได้กล่าวว่า “เรามีกองทัพพร้อม มีความต้องการ และมีความสามารถ หากว่าพวกเขาต้องการเรียกกองทัพสหรัฐฯของพวกเรา เราสามารถส่งกองกำลังเข้าพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว”
และเสริมต่อว่า “พวกเขากำลังใช้ทหารชันแนลการ์ดของพวกเขาอยู่ในเวลานี้ คุณรู้ไหม”
และเสริมต่ออีกว่า “พวกเขาต้องเข้มงวดมากกว่านี้ พวกเขาต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้ พวกเขาต้องได้รับการเคารพ” โดยกล่าวไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐมินเนโซตา และเสริมต่อว่ามีพวกม็อบที่ต้องถูกสั่งสอนว่า “ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้”
ด้าน โจนาธาน ราธ ฮอฟฟ์แมน (Jonathan Rath Hoffman) รัฐมนตรีช่วยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ด้านกิจการสาธารณะสัมพันธ์ กล่าวว่า กระทรวงและประธานคณะได้คุยเป็นการส่วนตัวกับผู้ว่าการรัฐมินเนโซตาถึง 2 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยแสดงความพร้อมของกระทรวงในการส่งกำลังเข้าไปเพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นและระดับรัฐ ***ตามการร้องขอ***
และเขายืนยันว่าในเวลานี้ทางผู้ว่าการรัฐยังไม่ร้องขอการสนับสนุนกองกำลังตามกฎหมายกองกำลังสหรัฐฯ Title 10
ความรุนแรงเกิดขึ้นห่างไปไม่กี่ช่วงตึกจากศูนย์กลางการประท้วง เมืองมอนูเมนต์ เซอร์เคิล (Monument Circle) โฆษกสำนักงานตำรวจนครบาลมินนีอาโปลิสกล่าว
NBC NEWS รายงานว่า การประท้วงเกิดขึ้นที่เมืองแห่งนี้มีคนถูกยิง 3 ราย โดยตำรวจยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้น 1 ราย หลังจากผู้ประท้วงจำนวนหลายร้อยคนรวมตัว อ้างอิงตัวเลขจากตำรวจมินนีอาโปลิส
อ้างอิงจาก wishtv ตำรวจมินนีอาโปลิสชี้ว่า ก่อนเวลา 21.00 น. ของวันเสาร์ (30) ฝูงชนได้ทุบทำลายหน้าต่างของอาคารรัฐบาลท้องถิ่นและปาสิ่งของเข้าใส่เจ้าหน้าที่ และทางเจ้าหน้าที่ได้ตอบโต้ด้วยสเปรย์พริกไทยและมีการปะทะระหว่างผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่นานหลายชั่วโมง
เดลีเมล สื่ออังกฤษ รายงานว่า ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วงทำให้เกิดการแตกฮือวิ่งหนี ทหารเนชันแนลการ์ดประจำรัฐมินเนโซตาถูกประกาศในเวลา 10.30 น.ของวานนี้ (30) ว่าจะมีการส่งกำลังพล 10,800 คนเข้าควบคุมสถานการณ์
รอยเตอร์รายงานว่า ถนนไฮเวย์เส้นเข้าออกเมืองมินนีอาโปลิส-เซนต์ พอล (St. Paul) ถูกปิดลงในภายหลังโดยเจ้าหน้าที่ ตำรวจเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ประท้วงราว 500 คนในมินนีอาโปลิสหลังเวลาเคอร์ฟิวท่ามกลางธนาคารที่กำลังไฟไหม้พร้อมกับเปิดฉากยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตาเข้าสลาย
ทีนา แฮร์ริสสัน(Tina Harrison) วัย 32 ปีหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประท้วงกำลังหอบระหว่างที่เพื่อนร่วมประท้วงได้เทน้ำนมใส่ที่หน้าเพื่อลดการระคายเคืองจากแก๊สน้ำตา เธอกล่าวว่า พวกเรามาที่นี่ในฐานะกลุ่มผู้หญิงผิวขาว...เพื่อปกป้องคนผิวสี"
ด้านครอบครัวของจอร์จ ฟลอยด์ได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน โดยในการให้สัมภาษณ์กับ สาธุคุณ อัล แชปตัน (Al Sharpton) นักจัดรายการแอฟริกันอเมริกันประจำช่อง ฟิโลนิส ฟลอยด์ (Philonise Floyd) พี่ชายของฟลอยด์ได้เปิดเผยออกอากาศว่า การสนทนาระหว่างเขาและทรัมป์เป็นไปอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ได้โอกาสพูดแม้แต่น้อย
“เขาไม่ให้โอกาสผมจะพูดเลย” พี่ชายฟลอยด์กล่าว และเสริมว่า “มันยากมากผมพยายามพูดกับเขาแต่เขากลับพยายามที่จะผลักผมออกไปมันเหมือนกับว่า ผมไม่อยากฟังสิ่งที่คุณกำลังจะพูด”
และกล่าวต่อว่า “ผมเลยบอกเขาว่าผมต้องการความยุติธรรม ผมกล่าวว่าผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขายังแขวนคอคนผิวดำในยุคสมัยใหม่ต่อหน้าต่อตาคนอื่นๆ”
ฟีโลนิส ฟลอยด์กล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของการสนทนากับอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ว่า “ผมบอกว่าผมไม่เคยขอร้องใครมาก่อน แต่ผมบอกเขาว่า ได้โปรด ได้โปรด ได้โปรดให้ความยุติธรรมแก่น้องชายผม”
และเขากล่าวต่อว่า “ผมบอกว่าผมต้องการมัน ผมไม่อยากเห็นเขาต้องอยู่บนเสื้อเหมือนกับคนอื่นๆ (สกรีนรูปคนตายบนเสื้อยืดเป็นสัญลักษณ์ว่าถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรม) ไม่มีใครสมควรได้รับเช่นนั้น พวกคนผิวดำไม่สมควรได้รับเช่นนั้น พวกเรากำลังตาย” และกล่าวว่า “ชีวิตแอฟริกันอเมริกันก็สำคัญ”
ซึ่งในการให้สัมภาษณ์ทางครอบครัวต้องการให้ตำรวจผิวขาวต้นเรื่องถูกดำเนินคดีข้อหาฆ่าคนโดยเจตนาไม่ใช่ข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาอย่างที่เป็นอยู่ รอยเตอร์รายงานวันนี้(31)ว่า วิลเลียม บาร์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวล่าสุดว่า จะต้องมีความยุติธรรมเกิดขึ้นในคดี จอร์จ ฟลอยด์
NBC News รายงานว่า อดีตผู้ลงชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตรอบไพรมารี ส.ว.แอฟริกันอเมริกันชื่อดังที่อาจเป็นคู่ชิงกับไบเดน คามารา แฮร์รีส (Kamala Harris) แสดงความเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “ตำรวจเลวต้องเข้าคุก”
ขณะเดียวกัน มีภาพวิดีโอคลิปเผยแพร่ไปทั่วที่กลุ่มผู้ประท้วงปล้นสะดมร้านกระเป๋าหลุยส์วิตตองที่เมืองพอร์ตแลนด์ (Portland) รัฐโอเรกอน
ในรายงานของ MSNBC พบว่าการใช้ความรุนแรงของรัฐกับประชาชนชาวแอฟริกันอเมริกันนั้นถูกปฏิบัติมานานเป็นต้นว่า การปล่อยให้สุนัขตำรวจเข้าไล่กัดเด็กและผู้หญิง ซึ่งในวิดีโอคลิปที่ถูกถ่ายด้วยชายชาวแอฟริกันอเมริกันรายหนึ่งเมื่อไมกี่ปีมานี่้หเป็นการจับกุมตัวตามธรรมดาเหมือนเช่นที่เกิดกับ “จอร์จ ฟลอยด์” แต่ทว่าพบว่า ชายผิวสีถูกควบคุมตัวโดยตำรวจด้วยการกดลงกับพื้นและมือเคลื่อนไหวไม่ได้แล้วแต่ตำรวจที่ควบคุมสุนัขยังจงใจปล่อยให้สุนัขตำรวจเข้ามากัดผู้ที่ถูกควบคุมตัว
และเกิดขึ้นกับผู้นำสหรัฐฯ อ้างอิงจากรอยเตอร์รายงานว่า ในวันเสาร์ (30) ทรัมป์ออกมาข่มขู่กลุ่มผู้ประท้วงที่รวมตัวด้านนอกรั้วทำเนียบขาวโดยกล่าวว่า หากว่ามีผู้ประท้วงคนใดบุกข้ามรั้วเข้าไปจะพบกับ “สุนัขที่ดุร้าย” และ “อาวุธหนัก” เท่าที่ทรัมป์เคยเห็นมา
ด้านสื่ออินเดียทูเดย์ของอินเดียรายงานว่า จากการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ การประท้วงที่เมืองได้มีกลุ่มผู้ประท้วงโอกาสทุบกระจกร้านบุกเข้าไปด้านในร้านกระเป๋าหลุยส์วิตตองที่ไม่ได้ปิดร้านด้วยแผ่นไม้อัดเหมือนเช่นร้านอื่นๆ ที่กระทำช่วงการประท้วง
ในคลิปผู้ประท้วงได้เข้าทำลายข้าวข้องและมีการนำสินค้าด้านในออกมาพร้อมกับวิ่งหนีออกไป พบว่าร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในห้างชอปปิ้งมอลไม่ได้อยู่ริมถนน