เอเอฟพี – ความพยายามในการสกัดการระบาดของไวรัสโคโรนาถูกท้าทายครั้งสำคัญในวันอาทิตย์ (24 พ.ค.) เนื่องจากชาวมุสลิมทั่วโลกจะเริ่มฉลองพิธีอิด อัล-ฟิตร์ ขณะที่โบสถ์คริสต์ได้รับการผ่อนปรนให้เปิดได้อีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่า ละตินอเมริกากำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดแห่งใหม่ โดยเฉพาะบราซิลที่มีผู้เสียชีวิตทะลุ 20,000 คน และติดเชื้อ 347,000 คน สูงสุดอันดับ 2 ของโลกรองจากอเมริกา
ความพยายามในการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ปรากฏต่อเนื่องในทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมออกทริปตีกอล์ฟครั้งแรกนับจากต้นเดือนมีนาคม
หลายประเทศในตะวันตกอาศัยจังหวะที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเดินหน้าปลดล็อกต่ออย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยหวังว่าจะฟื้นธุรกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ตัวอย่างเช่นสเปนที่เตรียมเลิกแบนนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยบางประการ รวมทั้งจะอนุญาตให้เปิดสนามแข่งขันฟุตบอลลาลีกาในวันที่ 8 เดือนหน้า
อิตาลีเตรียมเปิดพรมแดนต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายนเช่นเดียวกัน ขณะที่โบสถ์และมัสยิดในฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้เปิดทำพิธีครั้งแรกในรอบกว่า 2 เดือนในวันอาทิตย์ภายใต้เงื่อนไขในการป้องกันโรคระบาดอย่างเหมาะสม เช่น ผู้เข้าร่วมทำพิธีต้องสวมหน้ากากและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ มีการฆ่าเชื้อที่นั่งและเว้นระยะห่าง
อย่างไรก็ตาม มัสยิดในฝรั่งเศสขอให้ชาวมุสลิมอยู่บ้านในวันอิด อัล-ฟิตร์ซึ่งเป็นเทศกาลฉลองสิ้นสุดรอมฎอน และจะเริ่มกลับมาเปิดทำพิธีอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน
ส่วนที่ซาอุดีอาระเบียจะมีการทำพิธีละหมาดในมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ 2 แห่งในเมืองเมกกะและเมดินาโดยไม่อนุญาตให้ประชาชนร่วมทำพิธี ทางการประกาศข่าวนี้เมื่อวันเสาร์ (23 พ.ค.) ซึ่งเป็นวันแรกที่รัฐบาลบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิว 5 วัน หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 4 เท่านับจากเริ่มต้นรอมฎอน
ที่เยรูซาเลม ชาวคริสเตียนได้รับอนุญาตให้ร่วมทำพิธีในโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ในวันอาทิตย์ภายใต้ข้อจำกัดเข้มงวด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการระบาดหลังจากพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในบริเวณกาซาที่มีประชาชนอาศัยอยู่แออัดเมื่อวันเสาร์
ขณะเดียวกัน ชาวมุสลิมบางคนในอินโดนีเซียพยายามหลบหลีกมาตรการล็อกดาวน์ด้วยการหาใบรับรองปลอมเพื่อให้สมาชิกครอบครัวสามารถเดินทางกลับไปฉลองเทศกาลอิดพร้อมหน้าพร้อมตา ขณะที่รัฐบาลยังคงห้ามการเดินทางส่วนใหญ่
ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกราว 5.29 ล้านคน และเสียชีวิต 341,000 คน โดยละตินอเมริกา ได้กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดแห่งใหม่
กระนั้น ประธานาธิบดีจาอีร์ โบลโซนาโรของบราซิล ยังคงไม่คิดว่า โรคระบาดมีความรุนแรง แม้ยอดผู้เสียชีวิตและติดเชื้อภายในประเทศพุ่งโด่ง และรัฐมนตรีสาธารณสุขลาออกไปแล้ว 2 คนภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ก็ตาม
สถานการณ์ในเปรู ประเทศเพื่อนบ้านของบราซิล หนักพอกัน โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 3,100 คน ส่วนเอควาดอร์แถลงว่า โรคระบาดใหญ่จะสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวถึงเดือนละ 400 ล้านดอลลาร์
ผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจจากมาตรการล็อกดาวน์ทั่วโลกทำให้หลายประเทศยังคงพยายามฟื้นกิจกรรมเศรษฐกิจ ที่อเมริกาที่มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100,000 คน ทรัมป์เพิกเฉยต่อคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และผลักดันอย่างแข็งกร้าวให้รีสตาร์ทเศรษฐกิจ
ปีนี้มีชาวอเมริกันเกือบ 40 ล้านคนตกงาน และบริษัทมากมาย ล่าสุดคือผู้ให้บริการเช่ารถยนต์รายใหญ่ เฮิร์ตซ์ ต้องยื่นล้มละลาย อย่างไรก็ดี มลรัฐส่วนใหญ่เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และหลายรัฐเปิดให้คนไปพักผ่อนบนชายหาดเมื่อวันเสาร์
ขณะเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากขึ้นในหลายประเทศออกมาประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ เช่น ที่สเปนและเยอรมนีในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ที่อังกฤษ โดมินิก คัมมิงส์ ที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐบาล ถูกพบว่า ละเมิดกฎล็อกดาวน์ด้วยการเดินทางออกจากลอนดอนไปเยี่ยมพ่อแม่ ทั้งที่ตนเองมีอาการป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 และแม้คัมมิงส์ยืนยันว่า ไม่ได้ทำผิด แต่มีกระแสเรียกร้องอื้ออึงให้เขาลาออก