xs
xsm
sm
md
lg

WHO เตือน ‘โควิด’ ไม่หายไปจากโลก ด้านญี่ปุ่นยกเลิกภาวะฉุกเฉิน 39 จังหวัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้คนออกมานั่งเล่นกันที่สนามหญ้าของโรงแรม โอเต็ล เดซังแวลิเดอส์ ในกรุงปารีส วันพุธ (13 พ.ค.) สามวันหลังจากฝรั่งเศสผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดกั้นการแพร่กระจายของโรคโควิด-19
เอเจนซีส์ - องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนไวรัสโคโรนาอาจไม่หายไปจากโลก แนะเรียนรู้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคนี้แบบเดียวกับเชื้อเอชไอวี สำหรับยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกขณะนี้จ่อหลัก 300,000 คน ด้านบราซิลมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งแซงหน้าฝรั่งเศสขึ้นอันดับ 6 หลังพบเคสใหม่วันเดียวเกินหมื่น ส่วนญี่ปุ่นแม้ถูกทักท้วง ก็ยังเดินหน้าประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินใน 39 จังหวัด

ถึงแม้วัคซีนเป็นความหวังที่อาจช่วยให้ประเทศต่างๆ ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์และเดินหน้ากู้เศรษฐกิจที่พังทลาย ทว่า ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายสถานการณ์ฉุกเฉินของฮู กล่าวเตือนระหว่างการแถลงข่าวในวันพุธ (13 พ.ค.) ว่า “เรากำลังเจอกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เข้าสู่ประชากรมนุษย์เป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้น มันจึงยากมากๆ ที่จะคาดเดาว่า เมื่อไรที่เราจะมีชัยชนะเหนือมัน” เขากล่าว “บางทีไวรัสอาจกลายเป็นอีกหนึ่งไวรัสระดับท้องถิ่นในชุมชนของเรา และไวรัสนี้อาจไม่มีวันหายไป เอชไอวีก็ไม่เคยหายไป แต่เราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับมัน”

คำพูดของผู้เชี่ยวชาญผู้นี้ สวนทางกับความคิดเห็นของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับแนวทางรับมือกับการแพร่ระบาด โดยทรัมป์บอกก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะหายไปเองในที่สุด แม้โลกยังไม่มีวัคซีนป้องกันก็ตาม

จากการที่แนวโน้มของโรคนี้จะอยู่อีกยาว ทำให้รัฐบาลทั่วโลกต้องหาทางรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมการระบาดกับการเดินเครื่องระบบเศรษฐกิจ

ที่อเมริกาที่มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนากว่า 1,800 คน เมื่อวันพุธ (13) รวมเป็น 84,059 คน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามผลักดันการฟื้นกิจกรรมเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ซึ่งบ่อยครั้งขัดกับคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นต้นว่า นายแพทย์ แอนโธนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านโรคติดต่อและหนึ่งในทีมเฉพาะกิจรับมือไวรัสโคโรนาของทำเนียบขาว

ความตึงเครียดระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจได้รับการตอกย้ำจาก เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเกิดคลื่นการล้มละลายที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ออสเตรเลียเปิดเผยว่า ประชาชนเกือบ 600,000 คน ตกงานระหว่างบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ในเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นสถิติเลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 40 ปี

ทางด้าน ลอยด์ ออฟ ลอนดอน คาดว่า โรคระบาดจะทำให้เกิดผลกระทบมูลค่า 203,000 ล้านดอลลาร์ ต่ออุตสาหกรรมประกันภัย

ผู้คนสวมหน้ากากสัญจรผ่านไปมาบนท้องถนน หลังนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่น ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินใน 39 จังหวัด จาก 47 จังหวัด ยกเว้นโตเกียวและเมืองใหญ่อื่นๆ
ที่ยุโรป ประเทศต่างๆ ทยอยเปิดเมือง และสหภาพยุโรป กำลังผลักดันแผนฟื้นการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน เพื่อรักษาการจ้างงานหลายล้านตำแหน่ง โดยจะมีการยกเลิกการควบคุมการข้ามแดนในที่สุดควบคู่กับมาตรการลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ เนื่องจากยังกังวลกับแนวโน้มการระบาดรอบสอง

วันพุธ ชายหาดบางแห่งในฝรั่งเศสเปิดให้ประชาชนไปว่ายน้ำและตกปลาอีกครั้ง ขณะที่คนอังกฤษได้รับอนุญาตให้ออกนอกบ้านอย่างอิสระมากขึ้น

สำหรับเอเชีย ในวันพฤหัสบดี (14) นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินใน 39 จังหวัด จาก 47 จังหวัด ยกเว้นโตเกียวและเมืองใหญ่อื่นๆ ถึงแม้มีเสียงทักท้วงว่าการที่โรคระบาดในญี่ปุ่นทำท่าดีขึ้น และไม่ได้สาหัสเหมือนชาติพัฒนาแล้วรายอื่นๆ นั้น ปัจจัยสำคัญเนื่องมาจากญี่ปุ่นมีการตรวจหาเชื้อในหมู่ประชาชนกันน้อยมาก ดังนั้น จึงน่าห่วงว่าจะเกิดการระบาดรอบสองและรอบต่อๆ ไปอีก

ในส่วนของละตินอเมริกา ไวรัสโคโรนายังอาละวาดอย่างหนัก กรุงซานติเอโกของชิลี พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 60% กระทั่งเจ้าหน้าที่ตัดสินใจบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์

ที่อาร์เจนตินา ทางการกำลังจับตาสถานการณ์การระบาดในกรุงบัวโนสไอเรสอย่างใกล้ชิด หลังพบหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยที่ยากจน และมีประชากรหนาแน่นที่สุดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

สำหรับบราซิลซึ่งเป็นชาติในภูมิภาคนี้ที่เจอโรคระบาดโควิด-19 ร้ายแรงที่สุดอยู่แล้ว ตอนนี้กลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดอันดับ 6 ของโลก แซงหน้าฝรั่งเศส หลังพบเคสใหม่ในวันพุธถึง 11,385 คน รวมยอดสะสมเป็น 188,975 คน ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันและที่สงสัยของฝรั่งเศสถูกปรับลดลง 0.3% อยู่ที่ 177,000 คน

สำหรับยอดผู้เสียชีวิตในบราซิลเพิ่มขึ้น 749 คน เป็น 13,149 คน

รัฐมนตรีเศรษฐกิจบราซิลยังคาดว่า เศรษฐกิจปีนี้จะหดตัว 4.7% รุนแรงที่สุดในรอบกว่าศตวรรษ และสำทับว่า ทุกสัปดาห์ที่บังคับใช้มาตรการกักกันโรค เศรษฐกิจมีการสูญเสียถึง 3,400 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี มีข่าวดีเกิดขึ้นในมอริเชียสที่ไม่มีผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมทั้งไม่พบผู้ติดเชื้อใหม่ติดต่อกันเป็นวันที่ 17


กำลังโหลดความคิดเห็น