เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีอเมริกัน กลับลำไม่ยุบทีมเฉพาะกิจสู้ไวรัสโคโรนาของทำเนียบขาว แต่จะเพิ่มผู้เชี่ยวชาญและปรับโฟกัสเป็นการหาวิธีฟื้นธุรกิจและการใช้ชีวิตของประชาชนอย่างปลอดภัย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนการต่อสู้กับโรคระบาดเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นและอาจยืดเยื้อเป็นเดือนหรือปีหรือจนกว่าจะมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน รัสเซียมาแรงแซงโค้งขึ้นเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดอันดับ 5 หลังยอดผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นเกินหมื่นต่อเนื่องมาหลายวัน
ในวันพุธ (6 พ.ค.) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แจกแจงผ่านทวิตเตอร์ว่า จะไม่มีการยุบทีมเฉพาะกิจรับมือไวรัสโคโรนาที่ตนตั้งขึ้นมาในปลายเดือนมกราคม แต่จะเพิ่มที่ปรึกษาและปรับเป้าหมายไปที่การเปิดประเทศอย่างปลอดภัยแทน
ทรัมป์เผยว่า เปลี่ยนใจหลังได้รับรู้ปฏิกิริยาจากสิ่งที่ตนประกาศไปเมื่อวันอังคาร (5) ที่แสดงให้เห็นว่า ประชาชนให้การสนับสนุนทีมเฉพาะกิจนี้อย่างท่วมท้น
เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าคนอเมริกันจำเป็นต้องยอมรับการยกเลิกการล็อกดาวน์จะทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้นหรือไม่ ผู้นำสหรัฐฯ ยอมรับว่า อาจเป็นเช่นนั้น แต่คนอเมริกันต้องอุทิศตัวเหมือนนักรบ เพราะอเมริกาไม่สามารถปิดประเทศนานเป็นปี
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางแรงกดดันให้ปลดล็อกมาตรการจำกัดต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขยังคงเตือนว่า จำนวนผู้ติดเชื้ออาจพุ่งขึ้นอีกระลอก หากเปิดเมืองโดยไม่มีมาตรการที่ดีรองรับ อย่างเรื่องขยายขอบเขตการตรวจหาผู้ติดเชื้อ และการติดตามผู้สัมผัสโรค
ขณะนี้ อเมริกามีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อย่างน้อย 71,000 คน และผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ 1.2 ล้านคน
ทอม ฟรายเดน อดีตผู้อำนวยการของศูนย์กลางการควบคุมและการป้องกันโรค (ซีดีซี) ในยุคอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา เตือนระหว่างให้ปากคำต่อคณะอนุกรรมการสุขภาพ ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อวันพุธว่า รัฐบาลต้องยกระดับการเตรียมพร้อมเพื่อต่อสู้กับไวรัสซึ่งจะเป็นสงครามที่ยากลำบากและยืดเยื้อหลายเดือนหรืออาจหลายปี หรือจนกว่าโลกจะมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ
ฟรายเดน ที่เคยเป็นผู้นำในการรับมือวิกฤตอีโบลา ในปี 2014 สำทับว่า ขณะนี้ถือว่าการต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น พร้อมคาดการณ์ว่า สิ้นเดือนนี้ยอดผู้เสียชีวิตในอเมริกาอาจถึงหลักแสนคน ถ้าไม่มีการยกระดับมาตรการรับมือ
สำหรับสถานการณ์ของทั่วโลกนั้น เวลานี้มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาจำนวนถึง 3.7 ล้านคน และเสียชีวิตกว่า 260,00 คน ซึ่ง 1 ใน 4 อยู่ในอเมริกา
อย่างไรก็ดี ขณะนี้สถานการณ์ทางฝั่งยุโรปที่เคยเป็นภูมิภาคที่มีการระบาดรุนแรงที่สุดในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนดีขึ้นเรื่อยๆ และหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
แต่ท่ามกลางข่าวดีทางการแพทย์ แนวโน้มเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (อียู) ยังคงมืดมน โดยมีการคาดการณ์ว่า อาจเผชิญภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยตัวเลขติดลบ 7.7% ในปีนี้
ประเทศต่างๆ จึงพยายามฟื้นกิจกรรมเศรษฐกิจด้วยการยกเลิกมาตรการจำกัดอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดรอบสอง
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญในออสเตรเลียเตือนว่า อาจมีประชาชนหลายพันคนฆ่าตัวตายจากความเครียดทางการเงินและจิตใจอันสืบเนื่องจากวิกฤตไวรัส
ทางด้านเอเชีย สิงคโปร์รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (7) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 741 คน รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 20,939 คน โดยผู้ติดเชื้อที่พบล่าสุดส่วนใหญ่คือแรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่อย่างแออัดในหอพักคนงาน และมีพลเมืองสิงคโปร์เพียง 5 คน
วันเดียวกัน รัสเซียกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดอันดับ 5 ของโลก หลังพบเคสใหม่ถึง 11,231 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา รวมแล้วมีผู้ติดเชื้อสะสม 177,160 คน และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 88 คน เป็น 1,625 คน
รายงานระบุว่า ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตกว่าครึ่งอยู่ในกรุงมอสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดในรัสเซีย และพบผู้ติดเชื้อใหม่ถึง 6,703 คนในวันพฤหัสฯ โดย เซียร์เก โซบานิน นายกเทศมนตรีมอสโก เผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการขยายการตรวจหาผู้ติดเชื้อ และสำทับว่า สถานการณ์การระบาดในเมืองหลวงค่อนข้างนิ่งแล้ว