เอเจนซีส์ - ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาทั่วโลกทะลุ 250,000 คน เมื่อวันอังคาร (5 พ.ค.) ขณะที่นานาชาติร่วมลงขันกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาวัคซีน งานนี้อเมริกาเมิน โดยอ้างเป็นผู้นำการรับมือโรคระบาดอยู่แล้ว พร้อมหันไปแว้งกัดจีนไม่เลิกรา ว่า ไวรัสนี้หลุดออกมาจากอู่ฮั่น แม้องค์การอนามัยโลก และที่ปรึกษาใหญ่ด้านโรคระบาดของทำเนียบขาว เองคัดค้านข้อกล่าวหาดังกล่าว
เอเอฟพีรายงานว่า ตัวเลขที่รวบรวมจากรายงานอย่างเป็นทางการของชาติต่างๆ แสดงให้เห็นว่า ยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 145,000 คน ส่วนตัวเลขของอเมริกาอยู่ที่เกือบ 68,700 คน ซึ่งเมื่อรวมกันจะมากกว่า 85% ของยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกที่มีจำนวนมากกว่า 250,000 คน
สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมนับจากพบโรคนี้ครั้งแรกในจีนเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นอยู่ที่เกือบ 3.6 ล้านคน
ในวันอังคาร อังกฤษรายงานยอดผู้เสียชีวิตสะสมว่ามีสูงกว่า 32,000 คน ซึ่งรวมตัวเลขในแคว้นเวลส์ด้วย ทำให้อังกฤษมีแนวโน้มแซงอิตาลีกลายเป็นประเทศที่มีเหยื่อเสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดในยุโรป แม้มีการระบาดหลังจากชาติอื่นๆ ก็ตาม
ด้านรัสเซียกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในยุโรป โดยพบเคสใหม่ในวันอังคาร 10,102 คน รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 155,370 คน ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 95 คน เป็น 1,451 คน
วันอังคารเช่นกัน มีการถ่ายทอดรายการโทรทัศน์มาราธอนพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก (ฮู) โดยปรากฏว่าสามารถระดมทุนจากนานาชาติได้ถึง 8,100 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปพัฒนาวัคซีนต่อต้านไวรัสโคโรนา
ผู้ร่วมสมทบทุนรายใหญ่ประกอบด้วย ประเทศมหาอำนาจในยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดา รวมถึง มูลนิธิ บิลล์ และเมลินดา เกตส์ ขณะที่สหรัฐฯไม่ได้เข้าร่วมรายการนี้ กระทรวงการต่างประเทศในวอชิงตัน ยืนยันว่า อเมริกาเป็นผู้นำในการรับมือโรคระบาดครั้งนี้อยู่แล้ว โดยใช้เงินไปกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งกำลังร่วมมือกับบริษัทยาภายในประเทศในการพัฒนาวัคซีน
นอกจากนั้น ขณะที่ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดภายในประเทศได้ ทำเนียบขาวในช่วงนี้ก็ยังคงเร่งระดมโจมตีปักกิ่งต่อ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ พอมเพโอ ประกาศเมื่อวันจันทร์ (4) ว่า มีหลักฐานมากมายชี้ว่า ไวรัสโคโรนามาจากห้องปฏิบัติการในเมืองอู่ฮั่น
ทว่า ฮูออกมาคัดค้านข้อกล่าวหาดังกล่าวทันที เช่นเดียวกับแอนโธนี ฟาวซี นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านโรคระบาดของสหรัฐฯ และเป็นที่ปรึกษาใหญ่ของทำเนียบขาว ที่ยืนยันว่า ไวรัสวิวัฒนาการตามธรรมชาติก่อนที่จะกลายพันธุ์
นอกจากทำให้ผู้คนเจ็บป่วยล้มตายแล้ว โควิด-19 ยังสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลก
วันจันทร์ เจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ประกาศแผนปลดพนักงานเพิ่ม 10,000 คน ในธุรกิจด้านการบินที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคระบาด
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยังทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศเตรียมปล่อยกู้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเงินส่วนใหญ่จะอัดฉีดให้โครงการเยียวยาวิกฤตไวรัส
เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียเผยว่า มาตรการชัตดาวน์สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจสัปดาห์ละ 2,500 ล้านดอลลาร์ และคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสปัจจุบันจะตกลงถึง 10%
ที่ยุโรป ประชาชนเริ่มออกไปสูดอากาศนอกบ้าน ร้านค้า และธุรกิจบางอย่างได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการอีกครั้งเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ หลังบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ยาวนานเกือบสองเดือน
ชาวเมืองลากอส เมืองใหญ่สุดของแอฟริกา ออกไปทำงานครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ ขณะที่ตำรวจอินเดียต้องไล่ปิดร้านค้าหลายแห่งเพื่อระงับเหตุทะเลาะวิวาทของประชาชนที่แห่ซื้อเหล้า หลังทางการปลดล็อกครั้งแรกในรอบ 40 วัน
อินเดียยังเริ่มส่งเรือและเครื่องบินของกองทัพเรือออกไปรับพลเมืองหลายแสนคนที่ติดค้างอยู่ในมัลดีฟส์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ขณะเดียวกัน ฮ่องกงประกาศแผนผ่อนคลายมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม เช่น การเปิดโรงเรียน โรงภาพยนตร์ บาร์ และร้านเสริมสวย หลังจากสามารถควบคุมการแพร่เชื้อในท้องถิ่นได้เป็นส่วนใหญ่
วงการกีฬาโลกยังได้รับข่าวดีจากการที่ทีมเบสบอลเกาหลีใต้ลงสนามเปิดฤดูกาลเมื่อวันอังคาร แม้ยังไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าชมก็ตาม ขณะที่การแข่งขันฟุตบอลเค-ลีก จะเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์นี้ (8) และสัปดาห์หน้านักกอล์ฟหญิงบางคนจะโชว์วงสวิงในทัวร์นาเมนต์ภายในแดนโสมขาว