เอเจนซีส์ - หลายประเทศในยุโรปและบางพื้นที่ในอเมริกาเพิ่มการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อลดความตึงเครียดของประชาชนและฟื้นเศรษฐกิจที่หยุดนิ่งมาหลายสัปดาห์ หลังมีสัญญาณว่าสถานการณ์การระบาดเริ่มซาลง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการระบาดในบางประเทศเพิ่งอยู่ในขั้นต้นเท่านั้นและสถานการณ์จะเลวร้ายลง
รายงานล่าสุดระบุว่า ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนากว่า 242,000 คน และติดเชื้อ 3.4 ล้านคน โรคระบาดนี้ยังทำให้ประชากรครึ่งค่อนโลกต้องอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ และเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ อย่างไรก็ตาม สัญญาณที่บ่งชี้ว่าการระบาดอยู่ภายใต้การควบคุม ทำให้บางประเทศในยุโรปเริ่มผ่อนคลายมาตรการจำกัดมากขึ้น
หลังจากล็อกดาวน์มาสองเดือน อิตาลี ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อันดับ 2 ของโลก จะอนุญาตให้ประชาชนออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะและเยี่ยมญาติได้ตั้งแต่วันจันทร์ (4 พ.ค.) ส่วนร้านอาหารเปิดขายสำหรับการซื้อกลับบ้าน และห้างค้าส่งอื่นๆ ได้รับอนุญาตให้เปิดเช่นเดียวกัน
ฮังการีอนุญาตให้ร้านค้า พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหารกลางแจ้ง โรงแรม ชายหาด และโรงอาบน้ำเริ่มเปิดดำเนินการอีกครั้งตั้งแต่วันจันทร์ ยกเว้นในกรุงบูดาเปสต์ที่พบผู้ติดเชื้อราว 70% ของทั่วประเทศ
เยอรมนีเดินหน้าผ่อนคลายกฎต่อในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าจะยอมให้เปิดโรงเรียนในบางพื้นที่ ขณะที่สโลวีเนียและโปแลนด์จะอนุญาตให้เปิดธุรกิจบางอย่างและสถานที่สาธารณะ สำหรับฝรั่งเศสจะเริ่มผ่อนคลายเป็นบางส่วนนับจากวันที่ 11
ประเทศเหล่านี้ยังบังคับใช้มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากาก และการขยายการตรวจหาเชื้ออย่างเคร่งครัด ตามคำเตือนของผู้เชี่ยวชาญว่า โรคระบาดอาจกลับมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน แม้ยังมีความกังวล แต่ชาวสเปนทั้งผ่อนคลายและมีความสุขหลังได้รับอนุญาตให้ออกกำลังกายนอกบ้านและเดินเล่นได้อย่างอิสระตั้งแต่วันเสาร์ (2 พ.ค.) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 สัปดาห์นับจากที่รัฐบาลบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้น เนื่องจากสเปนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดด้วยสถิติมากกว่า 25,000 คน
ที่อเมริกา มีความกดดันให้ผ่อนคลายมาตรการสกัดไวรัสรุนแรงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักด้วยจำนวนคนว่างงานสูงถึง 10 ล้านคน และมีการประท้วงเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เช่น ในนิวแฮมป์เชียร์และเคนตั๊กกี้ ที่ผู้ประท้วงบางคนพกอาวุธและประณามคำสั่งล็อกดาวน์ ขณะที่ในแคลิฟอร์เนีย ประชาชนบางส่วนละเมิดคำสั่งกักตัวอยู่บ้านและออกไปเล่นเซิร์ฟที่หาดฮันติงตัน
แม้อเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนามากที่สุดในโลก แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กระตือรือร้นอย่างมากที่จะลดบาดแผลเศรษฐกิจด้วยการเปิดเมืองและเดินเครื่องกิจกรรมธุรกิจต่างๆ
เมื่อวันเสาร์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนและมหาเศรษฐีพันล้าน แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจอเมริกาจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากอเมริกามีพลังวิเศษอยู่ทั่วไป แม้ยังไม่แน่ว่า การฟื้นตัวดังกล่าวจะมาทันเวลาช่วยให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนหรือไม่ก็ตาม
ถึงกระนั้น มีสัญญาณว่า โรคระบาดเริ่มชะลอลงในบางพื้นที่ของอเมริกา ที่นิวยอร์กซิตี้ ศูนย์กลางการระบาดของอเมริกา โรงพยาบาลสนามในเซ็นทรัลปาร์กเตรียมปิดตัวเนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังกังวลว่า หากผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เร็วเกินไป ไวรัสอาจกลับมารอบใหม่และโจมตีชุมชนที่อ่อนแอ
รายงานระบุว่า ไวรัสโคโรนากำลังระบาดหนักในเรือนจำของสหรัฐฯ ซึ่งมีนักโทษมากที่สุดในโลกถึง 2.3 ล้านคน และยอดผู้เสียชีวิตในเรือนจำและสถานดัดสันดานทั่วประเทศกำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยมีการประท้วงมาตรการป้องกันการระบาดที่ไม่เหมาะสมและล่าช้าในเรือนจำในวอชิงตันและแคนซัส
นอกจากยุโรป ประเทศในภูมิภาคอื่นๆ กำลังผ่อนคลายมาตรการสกัดไวรัสเช่นเดียวกัน สิงคโปร์ประกาศว่า จะค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการบางอย่าง ส่วนตุรกีแถลงเมื่อวันเสาร์ว่า จะยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกอุปกรณ์ทางการแพทย์
ไทยอนุญาตให้เปิดธุรกิจบางอย่าง เช่น ร้านตัดผม ตลาดนัด ตั้งแต่วันอาทิตย์ (3 พ.ค.) โดยที่ต้องปฏิบัติตามกฎเว้นระยะห่างทางสังคมและมีการตรวจวัดอุณหภูมิอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า บางประเทศยังอยู่ในขั้นตอนแรกของการระบาดเท่านั้นและสถานการณ์อาจเลวร้ายลง
สำหรับสถานการณ์การระบาดในประเทศอื่นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น วันอาทิตย์ กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 295 คน รวมเป็น 9,223 คน และผู้เสียชีวิตอีก 4 คน เป็น 607 คน
ในวันเดียวกัน อินโดนีเซียพบเคสใหม่ 349 คน รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 11,192 คน เสียชีวิตเพิ่ม 14 คน เป็น 845 คน ส่วนที่มาเลเซีย กระทรวงสาธารณสุขแถลงว่า มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่ม 2 คน เป็น 105 คน และผู้ติดเชื้อใหม่ 122 คน เป็น 6,298 คน