เอเจนซีส์ - ตัวเลขผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดวันนี้ (3 พ.ค.) อยู่ที่ 243,808 คน ติดเชื้อ 3,427,343 คน FDA อนุมัติให้ใช้ยา remdesivir รักษาผู้ป่วยหนักโควิด-19 ในโรงพยาบาลสหรัฐฯ ส่วนผู้นำฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี นอร์เวย์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอียูแถลงถึงความร่วมมือระดับโลกเพื่อสนับสนุนองค์การอนามัยโลก WHO เพื่อเร่งพัฒนาวัคซีนและการรักษาต้านไวรัสโคโรนา ประชุมสัมนาออนไลน์ที่จะมีในวันจันทร์ (4 พ.ค.) ตั้งเป้าระดมทุน 7.5 พันล้านยูโร ส่วนพ่อมดวอลล์สตรีท วอร์เรน บัฟเฟต ออกมาชี้ยังเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯจะต้องฟื้นจากวิกฤต แต่ยอมรับว่าบริษัทของตัวเองได้เทขายหุ้นธุรกิจสายการบินในมือทิ้งทั้งหมด รวมไปถึงสายการบินเดลต้า และเซาท์เวสต์ เพราะเชื่อต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้นตัว
CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานวันนี้ (3 พ.ค.) ว่า อ้างอิงจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์พบว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตทั่วโลกอยู่ที่ 243,808 คน ติดเชื้อ 3,427,343 คน สหรัฐฯยังคงมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลกที่ 66,385 คน เมืองนิวยอร์ก ซิตี 18,491 คน สหรัฐฯติดเชื้อรวม 1,133,069 คน อิตาลีเสียชีวิต 28,710 คน อังกฤษเสียชีวิต 28,131 คน สเปนเสียชีวิต 25,100 คน ฝรั่งเศสเสียชีวิต 24,729 คน
ส่วนสเปนมีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 216,582 คน อิตาลีติดเชื้อรวม 209,328 คน อังกฤษติดเชื้อรวม 183,500 คน ฝรั่งเศส 168,518 คน
องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ FDA แถลงว่า อนุญาตให้ใช้ยา remdesivir ในการรักษาฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยหนักโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาล
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษชี้ว่า FDA ออกมาอนุญาตให้สามารถใช้ยาตัวนี้รักษาผู้ป่วยอาการหนักจากไวรัสโคโรนาในโรงพยาบาลได้เนื่องจากยาตัวนี้ที่อยู่ในขั้นทดลองให้ผลการฟื้นตัวไวในผู้ป่วยบางส่วน
ด้านผู้นำสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (1) แถลงร่วมกับ สตีเฟน ฮาฮ์น (Stephen Hahn) ผู้อำนวยการองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ FDA ที่ทำเนียบขาว ยืนยันว่า การอนุมัติยา remdesivir นั้นเป็นการชี้ชัดว่าสถานการณ์ที่ย่ำแย่นั้นดูมีความหวัง ส่วน ดร.เดโบราห์ เบิร์กซ์ (Dr Deborah Birx) ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ดิฉันคิดว่านี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีสิ่งใดบ้างที่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ”
FDA ออกมามีความเคลื่อนไหวหลังจากผลการทดสอบเบื้องต้นของกลุ่มศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯแสดงให้เห็นว่ายา remdesivir ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัทยา กิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences) นั้นเพิ่มการฟื้นตัวของผู้ป่วยถึง 31% หรือราว 4 วันโดยเฉลี่ยจากกลุ่มทดสอบจำนวน 1,063 คน
โดยความแตกต่างที่เห็นคือในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับยาตัวนี้จะสามารถได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลภายใน 11 วันโดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับยาตัวนี้จะได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลภายใน 15 วัน และรวมไปถึงยา remdesivir ยังลดอัตราการเสียชีวิตแต่ยังไม่แน่นอนอ้างอิงจากการเปิดเผยผลการศึกษาบางส่วน
ขณะเดียวกันที่ยุโรปจะมีการประชุมออนไลน์ครั้งสำคัญในวันจันทร์(4) เพื่อระดมทุนจำนวน 7.5 พันล้านยูโรในการสนับสนุนการตอบโต้วิกฤตโรคโควิด-19 ซึ่งบรรดาชาติผู้นำยุโรปจากฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี นอร์เวย์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรปชี้ว่า ต้องมีการร่วมกำลังในระดับทั่วโลกเพื่อต่อสู้วิกฤตการระบาดเพื่อเร่งสปีดการรักษาและการพัฒนาวัคซีน โดยอ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ดิอินดีเพนเดนซ์ของอังกฤษ ผู้นำเหล่านี้ชี้ว่า โรคโควิด-19 “สร้างความหายนะและความเจ็บปวดทั่วทุกมุมโลก”
และชี้ว่า "การผนึกกำลังร่วมกันจะเป็นการระดมทรัพยากรที่ดีที่สุดที่มีอยู่ และเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีที่สุดเพื่อค้นหาวัคซีน การรักษา และการบำบัดที่เราต้องการเพื่อที่ทำให้โลกของเราแข็งแรงอีกครั้ง”
และความร่วมมือระดับโลกนี้จะเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้โควิด-19 อย่างจริงจัง
ซึ่งเงินที่จะมีการระดมในวันพรุ่งนี้(4)มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะเสริมในส่วนที่ยังขาดที่ประเมินโดยคณะกรรมการเฝ้าจับตาการเตรียมความพร้อมระดับโลก GPMB (Global Preparedness Monitoring Board)
ข้อเขียนของผู้นำโลกต่างๆที่ลงในหนังสือพิมพ์ดิอินดีเพนเดนต์นี้เป็นการร่วมกันเขียนระหว่างนายกรัฐมนตรีอิตาลี จูเซปเป กอนเต ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุแอล มาครง นายกรัฐมนตรีเยอรมัน อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ เออร์นา โซลเบิร์ก (Erna Solberg) ประธานสภายุโรป ชาร์ลส์ มิเชล (Charles Michel) ประธานคณะกรรมการยุโรป อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen)
ขณะเดียวกัน CNN รายงานว่า พ่อมดการเงินวอลสตรีท วอร์เรน บัฟเฟต ออกมาแสดงความเห็นถึงสถานการณ์การระบาดโรคไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯว่า เขามีความเห็นในแง่บวกว่าสหรัฐฯจะฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง
โดยชี้ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถที่จะหยุดสหรัฐอเมริกาได้รวมไปถึงโรคระบาดที่ร้ายแรง กล่าวว่า “ประเทศนี้ในตลอด 231 ปีได้ก้าวไปไกลเกินกว่าที่ใครจะคาดฝัน”
สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า บัฟเฟตแสดงความเห็นระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธธาเวย์ อิงก์ (Berkshire Hathaway Inc)ที่ว่างเปล่าในเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา วันเสาร์ (2) ซึ่งเขาได้กล่าวไปถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมารวมไปถึง วิกฤตมิสไซล์คิวบา ช่วงยุคสงครามเย็น วิกฤต 11 กันยาก่อการร้ายโจมตีตึกเวิลด์เทรด และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ไครซิสปี 2008 ซึ่งเขากล่าวว่าแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นดูเหมือนอนาคตมืดมน แต่อเมริกาก็ฟื้นกลับมาได้
อย่างไรก็ตามบัฟเฟตยอมรับว่าในวิกฤตการระบาดบริษัทของเขาได้ขายหุ้นทั้งหมดที่มีของบริษัทสายการบินเดลต้า สายการบินเซาท์เวสต์ สายการบินยูไนเต็ต และสายการบินอเมริกัน เนื่องจากเชื่อว่าธุรกิจสายการบินเหล่านี้ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะฟื้น