เอเอฟพี - ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในยุโรป พุ่งเกิน 100,000 คน ขณะที่ช่วงหลายวันมานี้ เจ้าหน้าที่คณะบริหารอเมริกันช่วยกันประโคมทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด โดยทรัมป์เตือนจีนต้องรับผิดชอบ หากรู้ว่าเป็นตัวการการระบาด ขณะที่ผู้อำนวยการแล็บวิจัยใหญ่ในอู่ฮั่นโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าว ว่า ไม่มีทางเป็นไปได้
จากตัวเลขของสำนักข่าวเอเอฟพีจนถึงวันเสาร์ที่ผ่านมา (18 เม.ย.) มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาอย่างน้อย 157,000 คนทั่วโลก โดย 2 ใน 3 อยู่ในยุโรป หรือกว่า 100,000 คน และเกือบ 1 ใน 4 อยู่ในอเมริกา ซึ่งถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ส่วนยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกอยู่ที่เกือบ 2.3 ล้านคน
โรคระบาดร้ายแรงระดับโลกนี้ อุบัติขึ้นครั้งแรกปลายปีที่แล้วในเมืองอู่ฮั่นของจีน โดยนักวิจัยจีนเชื่อว่า ต้นตอมาจากตลาดขายและชำแหละสัตว์หายากในเมืองดังกล่าว แต่ช่วงไม่กี่วันมานี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ พากันประโคมทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดว่า ไวรัสโคโรนาหลุดมาจากห้องปฏิบัติการที่มีการรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุดของจีน
ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังมีการสอบสวนว่า ไวรัสมรณะหลุดออกระบาดทั่วโลกได้อย่างไร นอกจากนั้น ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเตือนจีนว่า จะต้องรับผิดชอบหากรู้ว่า เป็นตัวการการระบาดของไวรัสโคโรนา ผู้นำสหรัฐฯ โจมตีว่า โรคระบาดนี้ควรจบในจีนตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มต้นด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ทั่วโลกต้องมารับเคราะห์หนัก แต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผู้อำนวยการสถาบันไวรัสวิทยาในเมืองอู่ฮั่น ปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว และยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ที่ไวรัสโคโรนาจะมาจากห้องปฏิบัติการของสถาบัน
ปัจจุบันอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้อมากที่สุดในโลก คือกว่า 735,000 คน และเสียชีวิต 38,910 คน ทั้งนี้ จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ที่เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (19 เม.ย.) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในบางพื้นที่เริ่มดีขึ้น เช่น รัฐนิวยอร์ก รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตต่ำสุดในรอบหลายสัปดาห์ และแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐ ระบุว่า ปัจจัยหลักคือมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
ถึงกระนั้น ประชาชนจำนวนมากเริ่มไม่พอใจมากขึ้นกับมาตรการกักตัวเพื่อหยุดเชื้อ โดยในวันเสาร์มีคนนับร้อยออกมาประท้วงต่อต้านการล็อกดาวน์ในเมืองหลวงของหลายรัฐในอเมริกา เช่น เทกซัส แมรี่แลนด์ นิวแฮมป์เชียร์ และ โอไฮโอ โดยมีทรัมป์ให้ท้ายด้วยการทวีตเรียกร้องให้ 3 รัฐ ได้แก่ มิชิแกน มินนิโซตา และ เวอร์จิเนีย ยกเลิกคำสั่งห้ามประชาชนออกจากบ้าน ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นขณะที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนขึ้นว่า การเว้นระยะห่างทางสังคมช่วยชะลอการระบาด หลังจากประชากรกว่าครึ่งของทั่วโลก หรือราว 4,500 ล้านคน กักกันตัวเองที่บ้าน
คำสั่งงดออกจากบ้านบังคับใช้ในอิตาลีและสเปน ที่ต่างเป็นประเทศที่มีการระบาดหนักที่สุดในยุโรป โดยมีผู้เสียชีวิตประเทศละกว่า 20,000 คน ตามด้วยฝรั่งเศสกว่า 19,000 คน ขณะที่รัฐบาลทั่วโลกยังคิดหนักว่า จะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เมื่อใดและอย่างไร สเปนประกาศในวันเสาร์ว่า จะขยายมาตรการนี้ต่อไปจนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม อังกฤษ เม็กซิโก และ ญี่ปุ่น ต่างขยายมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายประชาชนเช่นเดียวกัน ตรงข้ามกับ สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก และ ฟินแลนด์ ที่ปรากฏสัญญาณว่า การระบาดเริ่มซาลง และจะเริ่มเปิดร้านค้าและโรงเรียนในสัปดาห์นี้
เยอรมนีประกาศว่า ไวรัส “อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว” หลังมีผู้เสียชีวิต 3,400 คน และเริ่มภารกิจละเอียดอ่อนในการผ่อนคลายข้อจำกัดบางอย่างโดยไม่ทำให้เกิดการระบาดรอบสอง ด้วยการอนุญาตให้เปิดร้านค้าบางประเภทตั้งแต่วันจันทร์และเตรียมเปิดโรงเรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายในไม่กี่สัปดาห์หน้า
อิหร่านอนุญาตให้ธุรกิจบางอย่างในเตหะรานเปิดดำเนินการเมื่อวันเสาร์ แม้มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในตะวันออกกลางก็ตาม ที่อังกฤษ สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ประกาศว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองจะงดธรรมเนียมการยิงสลุตเนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาในวันอังคารที่จะถึง (21 เม.ย.) ด้านออสเตรเลียเรียกร้องให้มีคณะกรรมการอิสระสอบสวนการรับมือโรคระบาดระดับโลก โดยเฉพาะการจัดการวิกฤตขององค์การอนามัยโลก (ฮู) และการรับมือโรคระบาดของจีน