รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาแถลงแผนการ 3 ขั้นซึ่งจะเปิดทางให้รัฐต่างๆ ทยอยผ่อนคลายคำสั่งล็อกดาวน์ปิดเมือง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
ทรัมป์ เรียกร้องให้รัฐที่มีผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่องอย่างน้อย 14 วันทยอยผ่อนปรนข้อจำกัดต่อภาคธุรกิจ ซึ่งต้องหยุดกิจการเพื่อช่วยชะลอการระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่
“เราไม่ได้จะเปิดเศรษฐกิจพร้อมกันทีเดียว แต่จะทำไปทีละขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง” ทรัมป์ แถลงที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (16 เม.ย.) หลังจากที่คุยโวเมื่อช่วงต้นเดือนว่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาเปิดกว้างราวกับ “บิ๊กแบง”
ทั้งนี้ มาตรการที่ ทรัมป์ เสนอเป็นเพียง ‘คำแนะนำ’ ต่อผู้ว่าการรัฐ ไม่ใช่ ‘คำสั่ง’ จากประธานาธิบดี ซึ่งถือเป็นการใส่เกียร์ถอยจากที่เคยประกาศกร้าวเมื่อวันจันทร์ (13) ว่าตนมีอำนาจสั่งการให้รัฐต่างๆ เปิดหรือปิดเมืองก็ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการตัดสินใจเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารแต่ละรัฐ ไม่ใช่รัฐบาลกลาง
คำแนะนำนี้ยังส่งผลให้กฎการควบคุมโรคของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ควรจะมีผลบังคับไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. สามารถสิ้นสุดได้ทันที โดยรัฐที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์สามารถทำตาม ‘แผนระยะที่ 1’ ได้ตั้งแต่วันศุกร์ (17)
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเริ่มเข้าสู่เฟสที่ 1 คำแนะนำของทรัมป์ กำหนดว่าโรงพยาบาลต่างๆ ควรจะต้องมี “โครงการตรวจคัดกรองไวรัส” อย่างเข้มข้น ซึ่งรวมถึงการตรวจแอนติบอดีให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ขณะที่ฝ่ายบริหารรัฐก็จะต้องตั้งจุดตรวจคัดกรองสำหรับประชาชนที่มีอาการป่วย รวมถึงติดตามบุคคลใกล้ชิด และสถานพยาบาลจะต้องจัดหาอุปกรณ์ป้องกันให้แก่บุคลากรของตนได้อย่างอิสระ ตลอดจนมีแผนรับมือในกรณีที่จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
สำหรับ แผนระยะที่ 1 คำแนะนำระบุให้งดการรวมตัวเกินกว่า 10 คนโดยไม่มีมาตรการเว้นระยะห่างที่เหมาะสม, หลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น, สนับสนุนการทำงานจากที่บ้าน และปิดพื้นที่ใช้งานรวมภายในสำนักงานต่างๆ
โรงเรียนจะยังคงปิดการเรียนการสอนต่อไป ส่วนสถานที่สาธารณะ เช่น โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร สนามกีฬา และศาสนสถาน สามารถเปิดดำเนินงานได้โดยมี “กฎการเว้นระยะห่างทางกายที่เข้มงวด” ขณะที่โรงพยาบาลซึ่งเผชิญงานหนักในการรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ก็อาจเริ่มให้บริการผ่าตัดแก่ผู้ป่วยทั่วไปที่มีความจำเป็น
แผนระยะที่ 2 จะเริ่มดำเนินการได้สำหรับรัฐหรือภูมิภาคที่ “ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น” โดยยังคงให้หลีกเลี่ยงการรวมตัวเกินกว่า 50 คนโดยไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม, ประชาชนสามารถเดินทางไปประกอบกิจธุระที่ไม่จำเป็นได้, อนุญาตให้เปิดโรงเรียนและค่ายเยาวชนต่างๆ และโรงพยาบาลสามารถให้บริการผ่าตัดแก่ผู้ป่วยทั่วไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง
แผนระยะที่ 3 จะอนุญาตให้ลูกจ้างกลับเข้าทำงานได้อย่างไม่มีข้อจำกัด แต่ถึงกระนั้น ดร.เดบราห์ เบิร์กซ์ ผู้ประสานงานด้านการรับมือไวรัสโคโรนาของทำเนียบขาว ยังคงเตือนให้ประชาชนยึดถือ “แนวทางปกติแบบใหม่” (new normal) ซึ่งหมายถึงมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่สูงขึ้น และการเว้นระยะห่างทางกายเพื่อลดโอกาสติดเชื้อจากผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ
ทรัมป์ พยายามผลักดันให้มีการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเร็ว หลังมาตรการล็อคดาวน์ปิดเมืองทำให้ชาวอเมริกันนับล้านๆ คนต้องตกงาน
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีผู้ลงทะเบียนเป็นคนว่างงานแล้วกว่า 20 ล้านคน ขณะที่พื้นที่ 90% ของประเทศอยู่ภายใต้คำสั่งงดออกนอกเคหะสถาน
ผู้นำสหรัฐฯ อ้างว่ามาตรการล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของประชาชน และอาจทำให้ปัญหายาเสพติด แอลกอฮอล์ การฆ่าตัวตาย และโรคหัวใจเพิ่มสูงขึ้น
รอน ไคล์น อดีตหัวหน้าทีมตอบสนองไวรัสอีโบลาในรัฐบาลบารัค โอบามา และปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้แก่ โจ ไบเดน ผู้สมัครประธานาธิบดีเต็งหนึ่งของพรรคเดโมแครต ออกมาวิจารณ์คำแนะนำของ ทรัมป์ ว่า “ไม่ใช่แผน แต่เป็นแค่ powerpoint” ขณะที่ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสายเดโมแครต และ โจ ไบเดน ต่างย้ำว่าการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุดคือหัวใจสำคัญของการเปิดประเทศ และมองว่าข้อเสนอของทรัมป์ ยังขาดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน