เอเจนซีส์ - ยอดผู้เสียชีวิตในอเมริกาลดลงติดกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กลั่น “ฝันร้ายใกล้จบลงแล้ว” ขณะเดียวกัน หลายประเทศกำลังชั่งใจรีสตาร์ทเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้องค์การอนามัยโลกเตือนว่า ไม่ควรลดการ์ดเร็วเกินไปเนื่องจากไวรัสโคโรนาร้ายกว่าไข้หวัดใหญ่ H1N1 ถึง 10 เท่า
นับจากอุบัติขึ้นครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้วในเมืองอู่ฮั่นของจีน ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรคติดต่อ “โควิด-19” นับถึงเวลานี้ก็คร่าชีวิตผู้คนราว 120,000 คน และติดเชื้อเกือบ 2 ล้านคนทั่วโลกแล้ว และขณะที่ประเทศต่างๆ เผชิญสถานการณ์การระบาดในระดับต่างๆ กัน จึงเริ่มมีการถกเถียงกันว่า ถึงเวลาที่จะคืนสู่สภาวะปกติแล้วหรือยัง รวมถึงความเป็นไปได้ของการระบาดระลอกสอง
ในวันอังคาร (14 เม.ย.) นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี สั่งขยายมาตรการล็อกดาวน์อินเดียจนถึงวันที่ 3 เดือนหน้าเป็นอย่างน้อย
เช่นเดียวกับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครงของฝรั่งเศส ที่ปราศรัยถ่ายทอดสดทางทีวีเมื่อวันจันทร์ (13) ว่า การระบาดเริ่มนิ่งแล้วและหวังว่า สถานการณ์กำลังเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ กระนั้น เขาสำทับว่า มาตรการล็อกดาวน์เข้มข้นที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม จำเป็นต้องต่อเวลาออกไปจนถึงวันที่ 11 พฤษภาคม หลังจากนั้นจะเปิดโรงเรียนและธุรกิจอีกครั้งอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ส่วนที่อังกฤษ เจ้าหน้าที่เตือนว่า สถานการณ์เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึงและมีแนวโน้มว่า ต้องล็อกดาวน์ต่อ
ด้านออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ยังยืนยันให้พลเมืองอยู่ภายใต้มาตรการจำกัดต่อไป แม้ดูเหมือนประสบความสำเร็จในการลดการแพร่ระบาดในระดับหนึ่งก็ตาม
ตรงข้ามกับอิตาลีที่เริ่มทดลองเปิดร้านหนังสือและร้านซักรีดตั้งแต่วันอังคาร ขณะที่จำนวนผู้ป่วยหนักลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 แม้ยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 20,000 คนแล้วก็ตาม
สำหรับสเปน ชาติยุโรปอีกรายที่ถูกโรคระบาดเล่นงานหนักมาก ได้อนุญาตให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมการผลิตเดินเครื่องอีกครั้ง ส่วนเยอรมนีกำลังพิจารณารีสตาร์ทเศรษฐกิจของตนเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี เทดรอส แอดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (ฮู) เตือนว่า ต้องยกเลิกมาตรการควบคุมต่างๆ อย่างช้าๆ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ไวรัสโคโรนาอันตรายถึงชีวิตมากกว่าไข้หวัดใหญ่ H1N1 ที่ระบาดในปี 2009-2010 ถึงสิบเท่า
ในประเทศจีน สถานการณ์ตอนนี้ที่พบผู้ติดเชื้อใหม่ซึ่งเป็นคนจีนที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นเครื่องยืนยันว่า การเอาชนะไวรัสอย่างราบคาบไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยในวันอังคารมีรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่ 89 คน ซึ่ง 86 คนเดินทางมาจากต่างประเทศ
ที่กรุงวอชิงตัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดวิดีโอหาเสียงให้ตัวเองและโจมตีสื่อระหว่างการสรุปสถานการณ์โควิด-19 พร้อมอวดอ้างว่า ตนเองช่วยชีวิตชาวอเมริกันนับหมื่นหรืออาจนับแสนคน
ทั้งนี้ ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาในอเมริกาที่เปิดเผยในวันจันทร์เพิ่มขึ้น 1,509 คน ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้า รวมอยู่ที่ราว 23,200 คน สูงสุดในโลก ทว่า ทรัมป์ประกาศว่า ดูเหมือนตัวเลขเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยและอาจกำลังลดลง พร้อมย้ำว่า ต้องการเดินเครื่องเศรษฐกิจอีกครั้งโดยเร็ว
ที่รัฐนิวยอร์กซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นกว่า 10,000 คน ไม่รวมผู้เสียชีวิตที่บ้านของตนเอง ซึ่งจะไม่มีระบุรวมในรายงาน แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐ ประกาศว่า ฝันร้ายอาจกำลังจะจบลง หากรัฐยังคงมาตรการจัดการที่เหมาะสม และเขาเชื่อว่า นิวยอร์กอาจเริ่มกลับสู่สถานการณ์ปกติแล้ว
ในวันอังคาร ผู้นำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จัดประชุมฉุกเฉินทางไกลภายใต้การเรียกร้องของเวียดนามซึ่งเป็นประธานการประชุม เพื่อหารือเกี่ยวกับต้นทุนทางเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนา โดยมีการเรียกร้องให้เปิดเส้นทางการค้าอีกครั้งเพื่อปกป้องการจ้างงานและอุปทานอาหาร รวมถึงการสต็อกอุปกรณ์การแพทย์ภายในภูมิภาค
เวียดนามนั้นถือว่า ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในการสกัดไวรัสผ่านมาตรการกักกันและการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างครอบคลุม โดยจนถึงขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสม 265 คน และไม่มีผู้เสียชีวิต
ตรงข้ามกับสมาชิกหลายชาติในอาเซียน เช่น อินโดนีเซียที่มีการทดสอบหาผู้ติดเชื้ออย่างจำกั ดจึงมีจำนวนผู้ติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาต่ำ และยอดผู้เสียชีวิตไม่ถึง 400 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 260 ล้านคน
เช่นเดียวกับลาวและพม่าที่ระบบสาธารณสุขล้าสมัย และเชื่อว่าทำให้ไม่รู้จำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริง ส่วนสิงคโปร์เริ่มมีเคสใหม่เพิ่มขึ้นอีกระลอก เฉพาะวันจันทร์เพิ่มขึ้นถึง 386 คน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด หลังจากก่อนหน้านี้ดูเหมือนควบคุมการระบาดได้แล้ว