เอเจนซีส์/เอพี/รอยเตอร์/MGRออนไลน์ - วันนี้ (24 มี.ค) ไทยมียอดจำนวนผู้ติดเชื้อภายในวันเดียวเพิ่มขึ้น 106 ราย ส่งผลทำให้ไทยกลายเป็นชาติที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดในโลกลำดับที่ 30 อยู่ที่ 827 ราย และเป็นลำดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามหลังมาเลเซีย ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,518 ราย และเสียชีวิต 15 ราย ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกรวมบ่ายวันอังคาร (24 มี.ค.) อยู่ที่ 382,108 ราย และผู้เสียชีวิต 16,574 คน พบนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินนาน 1 เดือน เริ่มต้นตั้งแต่วันพฤหัสบดี (26 มี.ค.) ขณะที่เอกอัคราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯ ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี ส่งเสียงเตือนรัฐบาลปักกิ่งผ่านหน้าบทบรรณาธิการลงสื่อไทย เรียกร้องให้ “จีนดูแลชีวิตให้ปลอดภัย ไม่ใช่รักษาหน้าของตนเอง”
CNN สหรัฐฯรายงานวันนี้ (24 มี.ค.) ว่า ไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 สูงสุดเกิดขึ้นในวันอังคาร (23) โดยทางโฆษกกระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เกิดขึ้นในวันเดียว 106 ราย ต่ำกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ 1 วันก่อนหน้า 122 ราย ส่งผลทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรวมของไทยในเวลานี้อยู่ที่ 827 ราย
และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย ทำให้มียอดรวมจำนวนผู้เสียชีวิต 4 ราย
อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ไทยภาคภาษาอังกฤษ พบว่า ผู้เสียชีวิตใหม่ทั้ง 3 ราย เป็นผู้ป่วยที่มีอาการป่วยอื่นอยู่ก่อนแล้ว โดยหนึ่งในนั้นมีอายุ 70 ปี ประสบปัญหาจากโรควัณโรค (Tuberculosis) ส่วนอีกรายเป็นเซียนมวยอายุ 79 ปี ที่มีปัญหาโรคเรื้อรังหลายโรคได้ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค โดยทั้งสองได้รับการรักษาโรคโควิด-19 ที่สถาบันบำราศนราดูร
และผู้เสียชีวิตรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยชายวัย 45 ปี ประสบปัญหาโรคอ้วนและโรคเบาหวาน เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
อ้างอิงจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ของสหรัฐฯในเวลา 16.01 น. พบว่า จำนวนติดเชื้อรวมทั่วโลกอยู่ที่ 382,644 ราย เสียชีวิตรวม 16,587 น และหายป่วย 101,898 คน
การที่ไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มส่งผลทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีการติดเชื้อสูงสุดเป็นอันดับ 30 ของโลก และกลายเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยห่างจากอันดับ 1 มาเลเซียที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อวันอังคาร (24) อยู่ที่ 1,518 คน และเสียชีวิต 15 คน มาเลเซียอยู่ในลำดับการติดเชื้อสูงสุดในอันดับที่ 22 ของโลก
ขณะที่อินโดนีเซียที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมวันนี้ (24) ที่ 608 ราย โดยมีเคสใหม่เพิ่มภายในวันเดียว 107 และเสียชีวิตรวม 55 ราย เป็นตัวเลขการเสียชีวิตสูงสุดในภูมิภาค
สิงคโปร์ติดเชื้อมาเป็นอันดับ 4 มีจำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดที่ 509 ราย และเสียชีวิต 4 ราย และฟิลิปปินส์มีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมอยู่ที่ 501 ราย โดยมีจำนวนเคสใหม่ 39 ราย และเสียชีวิตรวม 33 ราย
ส่วนเวียดนามมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับ 6 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ที่ 123 คน ไม่มีจำนวนผู้เสียชีวิต บรูไนมีจำนวนผู้ติดเชื้อ 91 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต
กัมพูชา มีจำนวนผู้ติดเชื้อรวม 87 ราย แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต
ส่วนพม่าและลาวมีจำนวนติดเชื้อ 2 คนอ้างอิงจากหนังสือพิมพ์เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์
และล่าสุด พบว่า รัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมใช้ยาแรงด้วยการประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน โดยเอพีรายงานว่า ประยุทธ์ออกมาแถลงยืนยันในวันอังคาร (24) ว่า คณะรัฐมนตรีของเขาตกลงในการใช้มาตรการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อทำให้มาตรการรับมือการระบาดมีความเข้มงวดมากขึ้น
ในการแถลงผ่านทางโทรทัศน์เขาร้องขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบและเตือนประชาชนต่อการใช้โซเชียลมีเดียอย่างไม่เหมาะสม รวมไปถึงการกักตุนสินค้า พร้อมยืนยันว่าจะใช้มาตรการแรงลงโทษต่อผู้ฝ่าฝืน
เอพีรายงานว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลประยุทธ์ ถูกตำหนิถึงการล้มเหลวในการใช้มาตรการแข้งกร้าวเพื่อจัดการวิกฤตโรคโควิด-19 ระบาดท่ามกลางเคสเพิ่มขึ้นรายวันภายในประเทศที่ก้าวกระโดดจากเลขหลักเดียวเมื่อกุมภาพันธ์มาสู่เลขหลักร้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย “ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี” (Michael George DeSombre) ได้ลงบทความเห็นผ่านบทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ไทยเมื่อวันเสาร์(21) แสดงความเห็นตำหนิรัฐบาลจีน โดยเรียกร้องให้ปักกิ่งออกมาเพื่อปกป้องชีวิตไม่ใช่รักษาหน้าของตัวเองท่ามกลางการรายงานข่าวจีนและสหรัฐฯต่างกล่าวโทษถึงต้นกำเนิดการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา
จากบทความที่ลงบนเว็บไซต์สถานทูตสหรัฐฯที่ MGR ออนไลน์เห็น พบว่า ดีซอมบรี เริ่มต้นจากที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมากล่าวหาสหรัฐฯที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯใช้คำว่า “อย่างผิดๆ" ของการแถลงเมื่อวันที่ 13 มี.ค เกี่ยวกับโรคโควิด-19
โดย ดีซอมบรี ยอมรับว่า รัฐบาลจีนทราบเรื่องนั้นก่อนใคร และแพทย์ชาวจีนผู้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลพยายามรักษาผู้ป่วยกลุ่มแรกๆ อย่างแข็งขัน แต่เขาได้ย้ำว่า
“รัฐบาลจีนมีหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญในการให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส และครบถ้วนเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญของจีนทราบ แม้กระนั้น ทางการจีนกลับแจ้งข้อมูลดังกล่าวกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ล่าช้า จึงทำให้การรับมือในระดับโลกล่าช้าออกไปด้วย”
และประเด็นที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำไทย ย้ำคือ สิ่งที่เลวร้าย คือ การที่จีนพยายามปกปิดความจริงด้วยการลงโทษผู้ที่ออกมาประกาศถึงข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งก็คือ จักษุแพทย์จีน หลี่ เหวินเหลียง เขาได้ชี้ให้เห็นว่า ทางการจีนทำทุกวิถีทางเพื่อปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา และปล่อยให้เวลามีค่าหลายสัปดาห์ผ่านไปจนการระบาดกลายเป็นความรุนแรง
ทูตสหรัฐฯ ชี้ประเด็นว่า ถึงกระนั้นทางปักกิ่งเลือกที่จะให้ข้อมูล เช่น genetic sequence data เพียงบางส่วนเท่านั้น และไม่พยายามตอบรับความช่วยเหลือทางสาธารณสุขจากประเทศทั่วโลกที่รวมไปถึง การร้องขอการเข้าถึงและต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
ดีซอมบรี กล่าวว่า หากว่าทางจีนทำสิ่งที่ถูกต้องและแจ้งเตือนเกี่ยวกับการระบาดของโรคไวรัสโคโรนาแล้ว ทั้งจีนรวมไปถึงชาติอื่นทั่วโลก รวมทั้ง ไทย “ อาจจะไม่ต้องเผชิญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพลเมืองของเราดังเช่นทุกวันนี้”
ในบทความเห็นของดีซอมบรี เขาระบุว่า ประชาชนจีนทราบว่า รัฐบาลจีนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกในครั้งนี้ และส่งปฏิกิริยาแรงออกมาหลังการเสียชีวิตของนายแพทย์หลี่ โดยยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นบน Weibo เขาได้ยกตัวอย่างหัวข้อสนทนาเป็นต้นว่า “รัฐบาลอู่ฮั่นต้องขอโทษนายแพทย์หลี่ เหวินเหลียง” และ “เราต้องการเสรีภาพในการพูด”
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯได้ใช้บทความทางหน้าหนังสือพิมพ์ไทย สื่อสารมายังประชาชนชาวไทย ว่า ทางสหรัฐฯกำลังทำงานและช่วยเหลือไทย และไทยเป็นประเทศที่ทางสหรัฐฯให้ความสำคัญมากที่สุดในด้านการสาธารณสุข โดยชี้ให้เห็นว่า สำนักงานศูนย์การควบคุมโรคและการป้องกันสหรัฐฯ CDC นั้น มีที่ตั้งสำนักงานนอกประเทศที่ใหญ่อยู่ในไทย
และเพิ่งในสัปดาห์ที่แล้วองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) มอบถุงมือ หน้ากากอนามัยและเสื้อกาวน์ หน้ากากพร้อมตัวกรองอนุภาค ถุงคลุมรองเท้าและแว่นตาป้องกันให้กับแพทย์และพยาบาลชาวไทยในเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ
ทั้งนี้ ทางสถานทูตสหรัฐฯได้แถลงผ่านเว็บไซต์ว่า ความช่วยเหลือประกอบไปด้วย วัสดุอุปกรณ์ป้องกันร่างกายส่วนบุคคลดังกล่าวประกอบไปด้วย ถุงมือยางไนไตร จำนวน 10,000 ชิ้น หน้ากากอนามัย จำนวน 5,000 ชิ้น เสื้อกาวน์ผ่าตัด จำนวน 5,000 ชุด หน้ากากพร้อมตัวกรองอนุภาค จำนวน 5,000 ชิ้น ถุงคลุมรองเท้า จำนวน 5,000 ชิ้น หมวกคลุมผมอนามัย จำนวน 5,100 ชิ้น กระบังเลนส์ป้องกันใบหน้า จำนวน 2,500 ชิ้น และแว่นครอบตานิรภัย จำนวน 500 ชิ้น
โดยรัฐบาลไทยจะทำการแจกจ่ายวัสดุอุปกรณ์ป้องกันตัวดังกล่าวไปยังสถานพยาบาล ในพื้นที่ที่มีความจำเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์เหล่านี้ต่อไป
ดีซอมบรี กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า เมื่อหลังวิกฤตการระบาดได้สิ้นสุด เห็นสมควรต้องมีการประเมินถึงความล้มเหลวในการร่วมมือกันระหว่างประเทศ และการปกปิดข้อมูลหรือการบ่ายเบี่ยงที่จะให้ข้อมูล ซึ่งในบทความดีซอมบรียังระบุไปถึง ผลร้ายของการให้ข้อมูลที่บิดเบือนตลอดช่วงเวลาของการระบาดใหญ่ที่ยังไม่ทราบว่าในเวลานี้เขาหมายถึงอะไรกันแน่