เอเอฟพี - การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ‘โควิด-19’ ทำให้จีนปลดปล่อยคาร์บอนลดลง ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับการณรงค์ลดโลกร้อน
ศูนย์วิจัยพลังงานและอากาศสะอาด (CREA) ในฟินแลนด์ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเมื่อวานนี้ (19 ก.พ.) โดยระบุว่าจีนปล่อยคาร์บอนลดลงอย่างน้อย 100 ล้านเมตริกตันในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 6% ของปริมาณการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ไวรัสโควิด-19 ซึ่งเริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่เดือน ธ.ค. ได้คร่าชีวิตชาวจีนไปแล้วกว่า 2,000 คน และยังพบผู้ติดเชื้อทั่วประเทศอีกกว่า 74,000 คน แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินและน้ำมันในจีนลดลง ซึ่งส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิจัยพบว่าในช่วง 2 สัปดาห์มานี้ กำลังการผลิตรายวันของโรงไฟฟ้าถ่านหินในจีนลดต่ำสุดในรอบ 4 ปีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การผลิตโลหะก็ลดต่ำสุดในรอบ 5 ปี
จีนถือเป็นผู้นำเข้าและบริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ทว่าการผลิตที่โรงกลั่นน้ำมันในมณฑลซานตงซึ่งเป็นฮับพลังงานของจีนกลับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2015
ทั้งนี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนจะคึกคักเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา ทว่าปีนี้ทางการจีนได้ขยายวันหยุดต่อเนื่องไปอีก 1 สัปดาห์ในหลายภูมิภาคของประเทศ รวมถึงนครเซี่ยงไฮ้ เพื่อให้ประชาชนได้เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านและลดการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19
“มาตรการควบคุมไวรัสส่งผลให้การผลิตของภาคอุตสาหกรรมหลักๆ ลดลงระหว่าง 15-40%” รายงานระบุ “สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลให้การปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงราว 1 ใน 4 หรืออาจจะมากกว่านั้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา”
อย่างไรก็ดี นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเตือนว่าตัวเลขที่ลดลงนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ “ชั่วคราว” เท่านั้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่จะเร่งฟื้นฟูการผลิตในกลุ่มผู้ก่อมลพิษรายใหญ่อาจทำให้ผลกำไรด้านสิ่งแวดล้อมหายไปในที่สุด
“เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสซาลง เราคงจะได้เห็น ‘การก่อมลพิษชดเชย’ ระลอกใหม่ เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องเร่งกำลังผลิตสูงสุดเพื่อชดเชยความสูญเสียในช่วงที่ต้องปิดโรงงาน” หลี่ ชัว (Li Shuo) ที่ปรึกษาฝ่ายนโยบายของ กรีนพีซ ไชน่า ระบุ
ขณะเดียวกัน การปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการสันดาปเชื้อเพลิงของยานพาหนะและโรงไฟฟ้าต่างๆ ก็ลดลงถึง 36% ในช่วง 1 สัปดาห์หลังเทศกาลตรุษจีน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว