ราช กรุ๊ป โชว์กำไรปี 62 เฉียด 6 พันล้านบาท โตขึ้น 6.7% ทุ่ม 2 หมื่นล้านขยายการลงทุนเพิ่ม ตั้งเป้าหมายปีนี้เพิ่มกำลังการผลิตอีก 780 เมกะวัตต์ และลงทุนโครงการระบบสาธารณูปโภคให้ถึง 5% ของเงินลงทุนในปีนี้ แย้มศึกษาการลงทุนในโครงการด้านนวัตกรรมที่เป็นธุรกิจ New S-Curve
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) เปิดเผยว่า ในปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 5,963.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น ซึ่งได้เข้าซื้อกิจการเมื่อปลายปี 2562 โครงการโรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น ซึ่งเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2562 รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน-1 ในอินโดนีเซียที่ได้ลงทุนเมื่อปลายปี 2561 และโครงการพลังงานลมเมาท์เอเมอรัลที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อปลายปีเดียวกัน บวกกับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนและการจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปี 2562 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับปี 2563 บริษัทฯ มุ่งเน้นการลงทุนแบบซื้อกิจการที่ดำเนินงานแล้วและโครงการประเภท Brownfields มากขึ้น เพื่อให้สามารถรับรู้ผลตอบแทนและเพิ่มมูลค่ากิจการได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังสามารถเข้ามาช่วยทดแทนรายได้จากโรงไฟฟ้าไตรเอเนอร์ยีที่จะปลดจากระบบในปีนี้ด้วย
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตอีก 780 เมกะวัตต์ และลงทุนโครงการระบบสาธารณูปโภคให้ถึง 5% ของเงินลงทุนในปีนี้ โดยจัดเตรียมเงินลงทุนจำนวน 20,000 ล้านบาทรองรับเป้าหมายการลงทุนใหม่และโครงการเดิมที่ลงทุนไว้แล้ว โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งศึกษาการลงทุนในโครงการด้านนวัตกรรมที่เป็นธุรกิจ New S-Curve และเตรียมพร้อมเข้าร่วมโครงการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน หรือ Public Private Partnership (PPP) ระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐด้วย
“ในปีนี้บริษัทฯ คาดหมายว่าจะสามารถสรุปการเจรจาเพื่อลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศและต่างประเทศได้ประมาณ 5 โครงการ ส่วนการร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ในรูปแบบ PPP Gross Cost ระยะเวลา 30 ปี ซึ่งบริษัทฯ เข้าร่วมประมูลในนามกิจการร่วมค้า BGSR คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในกลางปีนี้ สำหรับเป้าหมาย 780 เมกะวัตต์ ได้รวมกำลังการผลิต 720 เมกะวัตต์ของโรงไฟฟ้าไตรเอเนอร์ยีที่จะปลดจากระบบในปีนี้แล้ว โดยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกอง กำลังการผลิต 714 เมกะวัตต์ ที่ได้ลงทุนแล้วจะเข้ามาทดแทนกำลังผลิตดังกล่าว จะมีกำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้น 8,715.07 เมกะวัตต์” นายกิจจากล่าว
สำหรับเป้าหมายการลงทุนในปีนี้ ประกอบด้วยโครงการในประเทศ ได้แก่ โครงการส่วนขยายของโรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่น โครงการโรงไฟฟ้าประเภท SPP และโครงการโรงไฟฟ้า Independent Power Supply ส่วนในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ และพลังงานทดแทน โดยประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ เวียดนาม สปป.ลาว อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ส่วนโครงการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานจะเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะโครงการประเภท PPP ของภาครัฐ และธุรกิจ New S-Curve ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้ง Internet of Things ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2 /2563 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 มีมติจ่ายเงินปันผลปี 2562 หุ้นละ 2.40 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 3,480 ล้านบาท โดยจะนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันที่ 9 เมษายน 2563 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2562
บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 (งวดเดือนมกราคม-มิถุนายน 2562) แล้ว