บล.กรุงศรีคาด BCPG กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เหตุสัญญาขายไฟฟ้าในประเทศไทยที่ 8 บาท/kWh ของทั้งสามโครงการ solar farm กำลังจะสิ้นสุดสัญญาลงในปี 2565-2567 ซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทในปี 2568 ลดลงถึง 44% จากปี 2562 แต่แม้ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคในระยะกลาง คาดว่ากำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการพลังน้ำในลาว พลังงานลมในประเทศไทย และโครงการ solar อีกสี่แห่งในญี่ปุ่นจะช่วยหนุนให้กำไรเต็มปีในปี 2563-2564 ยังเติบโตได้ที่ระดับ 18%/7% ก่อนที่จะลดลงอีกครั้งตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
บล.กรุงศรีฯ คาดประมาณการเติบโตของ บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG ว่า การเติบโตจะขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตใหม่ เนื่องจาก BCPG กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่เมื่อ adder ของสามโครงการ solar ในประเทศไทยที่ได้ adder 8 บาท/kWh จะสิ้นสุดสัญญาลงในปี 2565-2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการเต็มปีในปี 2568 โดยเราคาดว่ากำไรในปี 2568 จะลดลงจากปี 2562 ถึง 44%
ทั้งนี้ BCPG ได้จัดสรรงบลงทุนปีนี้เอาไว้ 2 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้ 3 พันล้านบาทเพื่อพัฒนาโครงการในปัจจุบัน และอีก 1.7 หมื่นล้านบาทสำหรับโครงการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงการเข้าร่วมประมูลโครงการ solar farm ในมาเลเซีย และโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในอินโดนีเซีย ไต้หวัน และเวียดนาม โดย BCPG จะมุ่งเน้นที่โครงการ solar และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ โดยมีกำลังการผลิตที่ทำสัญญาไว้เรียบร้อยแล้วถึง 520MW ภายในปี 2567 จาก 404MW ที่ดำเนินการอยู่เมื่อสิ้นปี 2562 โดยคาดว่าการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่หลังปี 2567 จะเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ซึ่งจะจำกัดการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นของอุตสาหกรรมไฟฟ้าแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าสินทรัพย์ใหม่ๆ ของบริษัทจะสามารถเข้ามาเติมกำไรให้พอกับที่หายไปจากสามโครงการ solar ในประเทศไทยได้หรือไม่
ขณะเดียวกัน โครงการสัญญาขายไฟฟ้า Nam San 3A, Lamligor และโรงไฟฟ้า solar ใหม่ในญี่ปุ่นอาจจะช่วยขับเคลื่อนกำไรในระยะสั้น
ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคในระยะกลาง แต่ BCPG ก็ยังสามารถเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ๆ ได้จากโครงการพลังน้ำในลาว (Nam San 3A ขนาด 69MW บริษัทถือหุ้น 100% ซื้อเข้ามาในเดือน ก.ย. 62) และโครงการพลังงานลมในไทย ( Lamligor ขนาด 9MW บริษัทถือหุ้น 100% กำหนด COD ในเดือนเม.ย. 2563) และโครงการ solar ในญี่ปุ่นอีกสี่แห่ง (บริษัทถือหุ้น 100% กำลังการผลิตรวม 75MW) คาดโครงการเหล่านี้จะช่วยหนุนให้กำไรเต็มปีในปี 2563 โตได้ 18% และปี 2564 จะโตได้ 7% ก่อนที่จะกลับมาลดลงอีกตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป โดยพิจารณาจากการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าจาก US$6.2 เป็น US$6.95cents/kWh ของโครงการ Nam San 3A ในปี 2565 เรียบร้อยแล้ว โดยอิงจาก PPA ใหม่ที่ทำสัญญากับ EVN เมื่อต้นเดือนนี้ ทำให้กำไรของ BCPG เพิ่มขึ้นปีละ 60 ล้านบาท
แนะนำ ถือ ให้ราคาเป้าหมายที่ 16 บาท กำไรที่ยังเติบโตเต็มปี 2563-2564 จะช่วยประคองราคาหุ้น
ทั้งนี้ หุ้น BCPG แทบจะรั้งท้ายกลุ่มโรงไฟฟ้า (outperform แค่ BPP, EA และ CKP) นับตั้งแต่ที่นักวิเคราะห์ในตลาด re-rate หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มระยะกลางของบริษัท เราคิดว่าการที่บริษัทเพิ่งเข้าไปลงทุนในโครงการพลังงานลมในฟิลิปปินส์ และพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซียช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับบริษัท อย่างไรก็ตาม สัดส่วน D/E น่าจะยังคงสูงต่อเนื่อง (1.5x เมื่อสิ้นงวดไตรมาส 3 ปี 2562) ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทจะยังจ่ายเงินปันผลปีละ 0.64 บาท/หุ้น แต่ D/E ก็ยังต่ำกว่า covenant ที่ 3.0x ทั้งนี้ ราคาเป้าหมายของเราคิดเป็น P/E ของปี 2563 ที่ 14.8x และ P/BV ที่ 1.9x (ROE ที่ 13%)