xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ตรวจสอบ UN เผย ‘โสมแดง’ ยังละเมิดคว่ำบาตร แอบขนสินค้าต้องห้าม-ไม่หยุดพัฒนานุก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รอยเตอร์ - รายงานขององค์การสหประชาชาชาติระบุเกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ ทั้งยังลักลอบนำเข้า-ส่งออกสินค้าต้องห้ามตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการละเมิดมติคว่ำบาตรยูเอ็น

รายงานความยาว 67 หน้ากระดาษซึ่งถูกส่งถึงคณะกรรมการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือของคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น และมีกำหนดเผยแพร่ในเดือน มี.ค. ยังระบุด้วยว่า เกาหลีเหนือลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น และส่งออกถ่านหินมูลค่าราว 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเรือขนาดเล็กของจีนคอยอำนวยความสะดวกให้

“ในปี 2019 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (DPRK) ยังไม่หยุดทำกิจกรรมด้านนิวเคลียร์และขีปนาวุธที่ผิดกฎหมาย แต่กลับเพิ่มเติมให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น” คณะผู้สังเกตการณ์อิสระของยูเอ็นระบุ พร้อมชี้ว่านอกจากศักยภาพที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศแล้ว รัฐบาลโสมแดงยังมีการลักลอบนำเข้าชิ้นส่วนและเทคโนโลยีบางอย่างจากภายนอกด้วย

ขนสินค้าจากเรือสู่เรือ

คณะผู้สังเกตการณ์เผยว่า เกาหลีเหนือหันมาใช้เรือท้องแบน (barges) เป็นช่องทางส่งออกสินค้าต้องห้ามนับล้านๆ ตันไปยังต่างประเทศเพื่อหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร

“รัฐสมาชิกชาติหนึ่งให้ข้อมูลว่า เกาหลีเหนือส่งออกถ่านหิน 3.7 ล้านเมตริกตันระหว่างเดือน ม.ค. จนถึง ส.ค. ปี 2019 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” รายงานระบุ

“รัฐสมาชิกรายนี้บอกด้วยว่า ถ่านหินจากเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ประมาณ 2.8 ล้านเมตริกตันถูกขนถ่ายจากเรือสินค้าเกาหลีเหนือลงเรือท้องแบนของจีน”

ประเทศผู้ให้ข้อมูลอ้างว่า เรือท้องแบนเหล่านี้จะขนถ่านหินเกาหลีเหนือไปส่งที่ท่าเรือ 3 แห่งในอ่าวหางโจว รวมถึงโรงงานที่ตั้งอยู่ตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำแยงซี

เกาหลีเหนือยังส่งออกทรายที่ได้จากการขุดลอกแม่น้ำอย่างน้อย 1 ล้านตันไปยังท่าเรือหลายแห่งในจีน ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

รัฐบาลจีนยืนยันมาโดยตลอดว่าได้ปฏิบัติตามมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ขณะที่ทูตจีนประจำยูเอ็นออกมาปฏิเสธข้อครหาทั้งหมดว่า “ไม่มีมูล”

ผู้สังเกตการณ์ยูเอ็นรายงานด้วยว่า เกาหลีเหนือยังคงลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่น ทั้งโดยวิธีขนถ่ายจากเรือสู่เรือและการขนส่งโดยตรง

ตั้งแต่ปี 2017 คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นได้กำหนดเพดานการนำเข้าปิโตรเลียมกลั่นสู่เกาหลีเหนือไว้ไม่เกิน 500,000 บาร์เรลต่อปี แต่ผู้สังเกตการณ์และสหรัฐฯ ยืนยันว่า ระหว่างวันที่ 1 ม.ค จนถึง 31 ต.ค. ปีที่แล้ว ยอดนำเข้าปิโตรเลียมของโสมแดงพุ่งทะลุเพดานที่กำหนดไว้ “หลายเท่าตัว”

ผลกระทบต่อพลเรือน

แม้คำสั่งคว่ำบาตรของยูเอ็นจะไม่ได้มีเจตนาสร้างความเดือดร้อนต่อพลเรือนโสมแดง แต่รายงานระบุว่า “แทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามติคว่ำบาตรยูเอ็นส่งผลกระทบโดยไม่เจตนาต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมและภารกิจบรรเทาทุกข์ แม้การเข้าถึงข้อมูลและหลักฐานจะทำได้อย่างจำกัด และไม่มีระเบียบวิธีที่น่าเชื่อถือในการแยกแยะผลของมติคว่ำบาตรยูเอ็นออกจากปัจจัยลบอื่นๆ ก็ตาม”

รัสเซียและจีนเคยออกมาเตือนว่ามาตรการคว่ำบาตรจะยิ่งซ้ำเติมความทุกข์ยากของพลเมืองเกาหลีเหนือ และเสนอให้มีการผ่อนคลายบทลงโทษทางเศรษฐกิจ เพื่อให้การเจรจานิวเคลียร์ระหว่างวอชิงตันกับเปียงยางเดินหน้าต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ยืนยันเป็นเสียงเดียวว่า “ยังไม่ถึงเวลา” ที่จะผ่อนปรนให้เกาหลีเหนือ

รัฐบาลโสมแดงออกมาย้ำเมื่อเดือนที่แล้วว่า “ไม่มีข้อผูกพัน” ที่จะต้องระงับการทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธอีกต่อไป เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นฝ่ายเพิกเฉยต่อกำหนดเส้นตายปลายปี 2019 ที่ผู้นำ คิม จองอึน ขีดไว้สำหรับการรื้อฟื้นเจรจา และยังใช้มาตรการคว่ำบาตรที่ “ป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม” กับเกาหลีเหนือ

รายงานยูเอ็นระบุว่า เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธรวมทั้งสิ้น 13 ครั้ง และยิงขีปนาวุธไม่ต่ำกว่า 25 ลูกในปีที่ผ่านมา รวมถึงขีปนาวุธพิสัยใกล้รุ่นใหม่และขีปนาวุธที่ยิงจากเรือดำน้ำ (submarine-launched ballistic missile - SLBM)

“พวกเขายังคงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มศักยภาพให้แก่โครงการขีปนาวุธ” คณะผู้สังเกตการณ์ระบุ

ผู้ตรวจสอบยูเอ็นยังพบว่าเกาหลีเหนือใช้ปฏิบัติการทางไซเบอร์เล่นงานสถาบันการเงินและตลาดซื้อขายเงินดิจิทัลทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียเม็ดเงินและสร้างรายได้ผิดกฎหมายให้แก่รัฐคอมมิวนิสต์โสมแดงอีกทางหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น