(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)
American universities the new Sino-US battleground
By Christina Lin
19/11/2019
กระแสปลุกให้เกิดความหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์สีแดงครั้งใหม่ซึ่งพุ่งเป้าไปที่การต่อต้านคัดค้านจีน ได้บุกจู่โจมเข้าสู่วอชิงตัน ดีซี โดยที่คณะบริหารทรัมป์ดูเหมือนให้การต้อนรับอย่างยินดี และเวลานี้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่างๆ ของสหรัฐฯ กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการต่อสู้สหรัฐฯ-จีน
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ข้อเขียนชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ [1] รายงานเอาไว้ว่า กระแสปลุกให้เกิดความหวาดกลัวภัยสีแดงครั้งใหม่ ได้บุกโจมตีเข้าสู่กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยมีการจัดตั้งองค์การซึ่งใช้ชื่อว่า คณะกรรมการว่าด้วยอันตรายร้ายแรงในปัจจุบัน: จีน (Committee on the Present Danger: China ใช้อักษรย่อว่า CPDC) ขึ้นมา [2] ขณะที่ม่านแห่งความกลัวครั้งใหม่นี้กำลังพยายามเข้าปกคลุมและกำลังเปลี่ยนแปลงรูปโฉมนครหลวงของสหรัฐฯแห่งนี้เสียใหม่อยู่นั้น ปรากฏว่าเวลานี้มันยังกำลังขยายตัวคืบเข้าไปในวิทยาเขตต่างๆ ของมหาวิทยาลัยอเมริกันทั้งหลายอีกด้วย
องค์การที่ใช้ชื่อว่า คณะกรรมการว่าด้วยอันตรายร้ายแรงในปัจจุบัน (The Committee on the Present Danger) ได้เคยออกมารณรงค์ต่อต้านคัดค้านสหภาพโซเวียตในช่วงทศวรรษ 1970 และทศวรรษ 1980 และเมื่อเร็วๆ นี้ได้กลับฟื้นชีพคืนชีวิตขึ้นมาอีกโดยผู้นำคนสำคัญคือ สตีเฟน แบนนอน (Stephen Bannon) อดีตที่ปรึกษาในทำเนียบขาวขอ'ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้ออกมาเตือนให้ระมัดระวังและต่อต้านอันตรายที่มาจากประเทศจีน นิวยอร์กไทมส์บรรยายถึงองค์การ CPDC เอาไว้ว่า เป็น “กลุ่มประหลาดที่มีทั้งพวกเหยี่ยวด้านการทหาร, นักต่อสู้เรียกร้องนโยบายประชานิยม, พวกนักรบเพื่อเสรีภาพชาวมุสลิมจีน, และพวกสาวกของลัทธิฝ่าหลุนกง” โดยพวกนี้กำลังส่งเสียงเตือนใครก็ตามที่พร้อมรับฟังว่า “จีนกำลังแสดงท่าทีเป็นภัยคุกคามการดำรงคงอยู่ของสหรัฐฯ และภัยคุกคามนี้จะไม่มีทางสิ้นสุดลงได้จนกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะถูกโค่นล้ม” [3]
ยังมีกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนกำลังทำงานในช่วงเวลาใกล้เคียงพวก CPDC ในสหรัฐฯ ได้แก่ สถาบันดิกนิตาติส ฮูมานาเอ (Dignitatis Humanae Institute) ในอิตาลี ซึ่งได้ไปตั้งอยู่ภายใน ตรีซูตี โมนาสเทอรี (Trisulti Monastery) อดีตอารามคาทอลิกเก่าแก่อายุ 800 ปีซึ่งอยู่บริเวณนอกกรุงโรม โดยตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ [4] ระบุว่า “แบนนอนกำลังช่วยเหลือในเรื่องการจัดทำหลักสูตรสำหรับวิชาความเป็นผู้นำ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้อบรมให้การศึกษาแก่พวกนักเคลื่อนไหวคาทอลิกปีกขวา” อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเดือนมิถุนายน ปรากฏว่ารัฐบาลอิตาลีได้เพิกถอนการให้เช่า [5]อดีตอารามแห่งนี้แก่สิ่งที่มีบางคนบางฝ่ายเรียกว่า “โรงเรียนฝึกนักต่อสู้แบบแกลดิเอเตอร์ (gladiator school) และเมื่อถึงเดือนตุลาคม สถาบันแห่งนี้ก็ถูกขับไล่ออกไปจากสถานที่ดังกล่าว [6]
อย่างไรก็ตาม สำหรับในกรุงวอชิงตันนั้น ทัศนะความคิดเห็นของ CPDC ได้รับการต้อนรับด้วยความยินดีจากคณะบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมองการก้าวผงาดขึ้นมาของจีนว่าเป็นทั้งภัยคุกคามทางเศรษฐกิจและภัยคุกคามทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยที่พวกหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกันต่างได้เร่งรัดเพิ่มพูนความพยายามในการสู้รบปรบมือกับการทำจารกรรมของฝ่ายจีน และบัดนี้สมรภูมิใหม่กำลังอยู่ที่มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่างๆ ของอเมริกา
สถาบันอุดมศึกษาคือแนวรบใหม่
พวกเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) และจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ถูกจัดส่งกระจายไปตามบรรดามหาวิทยาลัยเก่าแก่ชื่อเสียงโด่งดัง (Ivy League) เพื่อเตือนเหล่าผู้บริหารให้ตื่นตัวระมัดระวังคอยจับตาต่อต้านพวกนักศึกษาชาวจีนในสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม, และคณิตศาสตร์ (science, technology, engineering and mathematics เรียกกันเป็นตัวย่อว่า STEM) โดยที่วิทยาเขตต่างๆ ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California campuses) เป็นอีกสถาบันหนึ่งซึ่งกำลังรู้สึกถึงผลกระทบกระเทือนจากเรื่องนี้ [7] ทั้งนี้โครงการวิจัยต่างๆ กำลังชะงักงันเนื่องจากประเด็นปัญหาเรื่องการออกวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ในขณะที่การพิทักษ์คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไม่ให้ถูกฝ่ายจีนโจรกรรมย่อมถือเป็นความวิตกห่วงใยที่ชอบธรรมสมเหตุสมผล แต่มันไม่มีความชัดเจนว่าบรรยากาศความร่วมมือประสานงานกันด้านการวิจัยที่กำลังเย็นชาลงเช่นนี้ จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อภาวะแวดล้อมแห่งการแสวงหาความรู้ทางวิชาการที่แต่ไหนแต่ไรมาดำเนินไปอย่างเปิดกว้าง ตลอดจนจะส่งผลกระบทบอย่างไรต่อการแลกเปลี่ยน ณ มหาวิทยาลัยต่างๆ
การสืบสวนสอบสวนของเอฟบีไอ ปรากฏว่าไม่ได้จำกัดเพียงแค่สาขาวิชาด้าน STEM เท่านั้น เหล่าชาวอเมริกันผู้ที่ได้เคยไปศึกษาในประเทศจีนเวลานี้กำลังถูกสืบสวนตรวจสอบกันแล้ว [8] ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เอฟบีไอได้สอบปากคำพลเมืองสหรัฐฯอย่างน้อยที่สุด 5 คนที่ได้เคยไปศึกษาในสถาบัน เอี้ยนจิง อาคาเดมี (Yenching Academy) อันทรงเกียรติ [9] ซึ่งมีชื่อเสียงรู้จักกันในฐานะที่เป็น “ทุนการศึกษาโรดส์ของจีน (Chinese Rhodes Scholarship) เหตุการณ์เหล่านี้สอดคล้องกับแบบแผนการปฏิบัติที่กว้างขวางยิ่งกว่านี้ของเอฟบีไอ ซึ่งกำลังเพิ่มการการติดตามเจาะลึกโครงการต่างๆ ในด้านการแลกเปลี่ยนทางการศึกษากับประเทศจีน และอย่างที่มีผู้สังเกตการณ์บางรายชี้เอาไว้ในรายงานชิ้นหนึ่งซึ่งเผยแพร่ทาง “ไชน่าไฟล์” (ChinaFile) [10] ว่า บรรยากาศเช่นนี้อาจทำให้นักวิชาการวัยหนุ่มสาวพากันถอยหนีออกมาจากการเสาะแสวงหาโอกาสในการไปศึกษายังต่างประเทศ และหันมาเลือกใช้ทางเลือกที่ “ปลอดภัยกว่า” ด้วยการเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศจีนจากตำรับตำรา
คณะบริหารทรัมป์กำลังวาดภาพให้เห็นไปว่าการปราบปรามอย่างเข้มงวดรุนแรงเช่นนี้เป็นความจำเป็นในการพิทักษ์ป้องกันสหรัฐอเมริกา โดยที่ คริสโตเฟอร์ เรย์ (Christopher Wray) ผู้อำนวยการเอฟบีไอ [11] ออกมากล่าวเตือนว่า ประเทศจีนแสดงท่าทีเป็น “ภัยคุกคามต่อสังคมตลอดทั่วทั้งสังคม” (whole-of-society-threat) [12] แต่มีความกังวลห่วงใยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า นี่เป็นการเติมเชื้อเพลิงให้แก่กระแสปลุกความหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์สีแดงครั้งใหม่ โดยที่นักวิชาการอย่างเช่น สกอตต์ เคนเนดี (Scott Kennedy) แห่ง ศูนย์กลางเพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา (Center for Strategic and International Studies ใช้อักษรย่อว่า CSIS) [13] แสดงความวิตก “ว่าจะมีบุคคลบางคนกำลังจะบอกว่า เพราะกระแสความหวาดกลัวเช่นนี้แหละ นโยบายใดๆ ก็ตามจึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรมมีเหตุผลทั้งนั้น” ในขณะที่บรรดาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียทั้งหลายกำลังถูกจับโยนให้มาอยู่ตรงหว่างกลางของแรงบีบคั้นกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่พวกต่อต้านสงครามระหว่างสหรัฐฯกับจีน/พวกสนับสนุนให้สหรัฐฯกับจีนมีปฏิสัมพันธ์กัน กำลังถูกมองเมิน พร้อมทั้งถูกหาว่าเป็นพวกปฏิเสธไม่ยอมรับความเป็นจริง หรือกระทั่งเป็นพวกทรยศชาติไปเลย
ควรใช้มาตรการตอบโต้แบบไหน ? /
เวลานี้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นทุกทีในวอชิงตัน –รวมไปถึงสมาชิกจำนวนมากของ CPDC – มีความคิดเห็นว่าการทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯและของจีนแยกขาดออกจากกันนั้น คือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทว่าก็อย่างที่ โจนาธาน ฮิลล์แมน (Jonathan Hillman) ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ใน วอชิงตันโพสต์ [14] โดยพาดพิงถึงภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “Claws of the Red Dragon” (กรงเล็บของมังกรแดง) ของ แบนนอน ที่ออกเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเขียนบทให้เห็นไปว่าการแข่งขันกับต่างประเทศนั้น คือการต่อสู้ระหว่างความดี (ฝ่ายเรา) กับความชั่ว (ฝ่ายอื่นๆ ทั้งหมด) ทั้งนี้ ฮิลล์แมนชี้ว่า แท้ที่จริงแล้ว แนวความคิดเช่นนี้กลับสร้างความเสียหายให้แก่ความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ
ฮิลล์แมนกล่าวต่อไปอีกว่า “สไตล์แบบคนโรคจิตหวาดระแวงเช่นนี้ คือการเพิกเฉยละเลยต่อการเป็นฝ่ายรุก จึงเป็นเรื่องที่มีอันตราย โดยแทนที่จะพิจารณาว่าสหรัฐฯควรทำอย่างไรเพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น แนวความคิดเช่นนี้กลับยึดติดแน่นอยู่กับการใช้มาตรการแบบเป็นฝ่ายรับ ซึ่งมุ่งตัดกำลังพวกคู่แข่งขันต่างประเทศ” ประธานของสถาบันเทคโนโนยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology ใช้อักษรย่อว่า MIT) แอล ราฟาเอล เรฟ (L Rafael Reif) [15] ก็เช่นเดียวกัน ได้ออกมาเตือนว่า “ถ้าทั้งหมดที่พวกเราทำอยู่ในการตอบโต้ต่อความทะเยอทะยานของจีน คือการพยายามปิดประตูทุกบานของเราใส่กลอนติดล็อก 2 ชั้นให้แน่นหนาแล้ว ผมเชื่อว่าเราก็จะล็อกพวกเราเอง ให้เข้าไปสู่ความพื้นๆ ธรรมดาที่ไร้ความโดดเด่นเยี่ยมยอด”
โชคร้ายเหลือเกิน ดูเหมือนว่าการปิดประตูใส่กลอนติดล็อก 2 ชั้นเช่นนี้ ยังกำลังแผ่ขยายตัวเข้าไปสู่เรื่องการแลกเปลี่ยนทางด้านการศึกษาอีกด้วย ในท่ามกลางบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว การสนทนากันกำลังถูกบีบรัดให้ต้องยุติลง แทนที่จะช่วยก่อให้เกิดการสนทนาใหม่ๆ ขึ้นมา ในเวลาซึ่งช่องทางอย่างเป็นทางการในเรื่องทวิภาคีกำลังแตกสลายสูญสิ้นไป พร้อมๆ กันนั้นเม็ดฝนแห่งความข้องใจเคลือบแคลงและความเป็นปรปักษ์ก็กำลังแผ่กระจายตัวจนเปียกชุ่มไปทั่ว นักวิชาการอิสระซึ่งมีความรอบรู้เกี่ยวกับจีน ควรจะเป็นเครื่องมืออันมีค่าอย่างหนึ่งสำหรับการเจรจาหารือและความก้าวหน้าที่มุ่งสู่อนาคต ไม่ใช่กลายเป็นเพียงเหตุผลความชอบธรรมสำหรับความระแวงสงสัย
อย่างที่รายงานใน ไชน่าไฟล์ [16] ชี้เอาไว้ให้เห็นนั่นแหละ พวกหน่วยงานข่าวกรองในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายย่อมมีสิทธิที่จะสอบปากคำพลเมืองของพวกเขาเกี่ยวกับอันตรายต่างๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นมาได้จากการที่พลเมืองเหล่านี้อาจจะเปิดเผยความลับของพวกเขาเองและประเทศชาติของพวกเขา – โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงวิชาการ ซึ่งได้เคยมีพวกไร้เดียงสาบางรายเคยกระทำมาในอดีตในพื้นที่ของความร่วมมือกับต่างประเทศบางพื้นที่ ทว่าการลดทอนการแลกเปลี่ยนในแวดวงวิชาการในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ-จีนจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกันให้มาก อาจจะไม่ใช่วิธีการตอบโต้ทางด้านการข่าวกรองที่ดีที่สุดก็ได้ แทนที่จะทำเช่นนั้น มหาวิทยาลัยต่างๆ สามารถที่จะเป็นหุ้นส่วนกับพวกหน่วยงานข่าวกรอง และลงทุนในเรื่องการฝึกอบรมนักศึกษาและคณาจารย์อย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มพูนความตื่นตัวรับรู้ และติดอาวุธให้แก่พวกเขาด้วยเครื่องมืออันเหมาะควรเพื่อที่จะได้ตระหนักรับทราบเมื่อเกิดการล่วงล้ำที่ไม่พึงปรารถนาและเกิดปฏิสัมพันธ์อันน่าระแวงสงสัย เพื่อที่พวกเขาจะได้ปกป้องตัวเองได้
สำหรับข้อริเริ่มประเภท CPDC และสถาบันในอดีตอารามอิตาลีซึ่งมีเจตนารมณ์ที่จะบ่มเพาะฝึกอบรมพวกนักเคลื่อนไหวฝักใฝ่ศาสนายิว-คริสเตียน (Judeo-Christian activists) เพื่อตอบโต้กับ “ภัยคุกคามระดับการดำรงคงอยู่” จากพวกประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จนั้น บางทีดูเหมือนว่าปักกิ่งอาจจะเลยหน้าแบนนอนและทีมงานของเขาไปแล้ว
วิธีการแบบไม่ใช้กำลังไม่ใช้ฤทธานุภาพ
สิ่งที่แทบไม่มีการรายงานข่าวกันเลยในสื่อมวลชนตะวันตก ก็คือจีนในปัจจุบันกำลังมีขบวนการเคลื่อนไหวของชาวคริสต์ขนาดใหญ่โตที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามบ้านคริสตจักรใต้ดินที่ไม่ได้จดทะเบียนกับทางการ โดยขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นที่รู้จักเรียกขานกันในชื่อว่า ขบวนการ “กลับไปสู่เยรูซาเลม” (Back to Jerusalem) เดวิด ไอค์แมน (David Aikman) อดีตหัวหน้าสำนักงานประจำปักกิ่งของนิตยสารไทม์ (Time magazine) เป็นคนแรกที่รายงานปรากฏการณ์นี้เอาไว้ในหนังสือปี 2003 ของเขาที่ใช้ชื่อว่า Jesus in Beijing (พระเยซูในปักกิ่ง) [17] ขบวนการนี้ซึ่งถือกำหนดขึ้นในทศวรรษ 1900 เกิดจากวิสัยทัศน์ของพวกมิชชันนารีชาวจีนที่ปรารถนาจะเผยแพร่คำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิล จากชายฝั่งภาคตะวันออกของจีน ผ่านทะลุบรรดาดินแดนที่ตั้งอยู่กลางทวีปของชาวพุทธ, ชาวฮินดู, และชาวมุสลิม จวบจนกระทั่งบรรลุถึงดินแดนซึ่งศาสนาคริสต์ถือกำหนดขึ้นในคราวแรก –นั่นคือ กลับไปสู่เยรูซาเลม [18]
ถึงแม้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นองค์การซึ่งประกาศตัวเปิดเผยว่าเป็นผู้ไม่นับถือพระเจ้า (atheist) ที่ใหญ่โตที่สุดในโลก โดยที่มีสมาชิกอย่างเป็นทางการเป็นจำนวน 85 ล้านคน แต่ตัวเลขนี้ก็ถูกบดบังโดยตัวเลขของชาวคริสเตียนในจีนที่ประมาณการกันว่ามีอยู่ราว 130 ล้านคน แถมจำนวนชาวคริสต์นี้ยังขยายตัวกันโดยเฉลี่ยปีละ 10% นับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา และ เฟิงกัง หยาง (Fenggang Yang) แห่งมหาวิทยาลัยเพอร์ดิว (Purdue University) [19] ในรัฐอินดีแอนาของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าจีนจะมีชาวคริสเตียน 250 ล้านคนภายในปี 2030 ซึ่งจะทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีประชากรชาวคริสต์มากที่สุดในโลก ทั้งนี้พวกเขาจำนวนหลายล้านคนทีเดียวยังกำลังอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความริเริ่มต่างๆ ของแบนนอนในการต่อต้านจีนทั้งในทางการทหาร, เศรษฐกิจ, เทคโนโลยี, และการเมือง จึงอาจจะเป็นการพลาดจากจุดสำคัญที่เป็นหลักของคุณค่าแบบยิว-คริสต์ (Judeo-Christian value) --นั่นคือความรัก วอชิงตันอาจจะไว้เนื้อเชื่อใจในขบวนม้าศึกและขบวนรถศึกของตน และดำเนินสงครามอย่างเต็มที่เต็มขั้นเพื่อเล่นงานปักกิ่ง แต่มันจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้หรอก ถ้าหากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ –อย่างที่เรากำลังรู้เห็นเป็นพยานอยู่ในเวลานี้ภายหลังจากการเข้าไปทำสงคราม 18 ปีในอัฟกานิสถาน
ตรงกันข้าม ชาวคริสต์จีนซึ่งติดอาวุธด้วยความรักที่เสียสละอุทิศตน และหัวจิตหัวใจที่พร้อมให้แก่ผู้สูญเสีย กำลังขี่กระแสคลื่นของการก้าวผงาดขึ้นมาของจีน และกระแสแห่งเส้นทางสายไหมใหม่ เพื่อไปสู่ดินแดนต่างๆ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาเคยปฏิเสธไม่ยอมรับสหรัฐฯมาโดยตลอด เป็นต้นว่า ซูดาน, อิหร่าน[20], เกาหลีเหนือ, และซีเรีย ทีมงานกับไปสู่เยรูซาเลม เข้าปอยู่ในประเทศเหล่านี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว กำลังเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเองและกำลังจัดหาสิ่งของบรรเทาทุกข์เพื่อมนุษยธรรม, บริการเพื่อสุขภาพ, และบริการทางการแพทย์ต่างๆ , กำลังทำการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน, เข้าทำหน้าที่เป็นล่ามและการดูแลช่วยเหลือผู้คนที่ถูกกล่าวข่มเหงรังแก
บางที แทนที่จะพยายามทำให้ประเทศจีนทั่วทั้งหมดกลายเป็นดินแดนแห่งปีศาจร้ายและอมนุษย์ เหล่าสมาชิกของ CPDC และโรงเรียนฝึกนักรบแกลดิเอเตอร์แห่งนั้น ควรที่จะพร่ำเตือนพวกเขาเอง ด้วยข้อความแห่งคริสต์ศาสนา และ “คำเทศนาบนภูเขา” ของพระเยซู: “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของท่าน และเกลียดชังศัตรูของท่าน’ แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน” (มัทธิว 5:43-44)
แนวความคิดอันรุนแรงประการหนึ่งในคุณค่าแบบยิว-คริสต์ ในท่ามกลางโลกแห่งใครชนะกวาดรางวัลไปหมดเลย ตามแบบพวกเชื่อถือสนับสนุนทฤษฎีของโธมัส ฮอบบ์ (Hobbesian zero-sum world) ที่แสนดุร้ายป่าเถื่อนเหมือนสัตว์เดรฉาน กระนั้นก็เป็นแนวความคิดนี้เองที่เปลี่ยนแปลงหัวจิตหัวใจของ โมซับ ฮัสซัน ยูเซฟ (Mosab Hassan Yousef) [21] บุตรชายของ ฮัสซัน ยูเซฟ (Hassan Yousef) ผู้นำกลุ่มฮามาส (Hamas) ซึ่งได้กลายเป็นชาวคริสต์และเป็นพันธมิตรของอิสราเอล ภายหลังจากเขาถูกยิงด้วยความเชื่อซึ่งเป็นแกนกลางของคุณค่าแบบยิว-คริสต์ที่ว่า “จงรักศัตรูของท่าน” นี่แหละ
ในกรณีนี้ สงครามช่วงจิตหัวจิตหัวใจได้รับชัยชนะ “ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา” (เศคาริยาห์ 4:6) นั่นคือด้วยวิญญาณแห่งความรักของเรา และขณะที่วอชิงตันยังคงสืบต่อกวัดแกว่งอาวุธทางทหารและทางเศรษฐกิจอันดุร้ายเพื่อพยายามเอาชนะพวกศัตรูของตนอยู่นั้น มันอาจจะเป็นคริสเตียนชาวจีนก็ได้ซึ่งเป็นผู้ที่กำลังชนะสงคราม – จากการชนะหัวใจครั้งละดวง
(ข้อเขียนซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ทางเอเชียไทมส์ไม่ขอรับผิดชอบทั้งต่อความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาด้านสื่อใดๆ ที่นำเสนอ)
ดร.คริสตินา ลิน เป็นนักวิเคราะห์นโยบายด้านการต่างประเทศและความมั่นคง ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย เธอมีประสบการณ์ในการทำงานกับรัฐบาลสหรัฐฯอย่างกว้างขวางในประเด็นปัญหาด้านความมั่นคงและทางเศรษฐกิจ เป็นต้นว่า กระทรวงกลาโหม, กระทรวงการต่างประเทศ, สภาความมั่นคงแห่งชาติ, ธนาคาร U.S. EXIM Bank โดยความสนใจของเธอในปัจจุบันโฟกัสที่เรื่องความสัมพันธ์จีน-ตะวันออกกลาง/เมดิเตอร์เรเนียน
เชิงอรรถ
[1] https://www.nytimes.com/2019/07/20/us/politics/china-red-scare-washington.html
[2] https://presentdangerchina.org/guiding-principles/
[3] https://www.nytimes.com/2019/07/20/us/politics/china-red-scare-washington.html
[4] https://www.reuters.com/article/us-italy-monastery-bannon/italy-revokes-lease-for-site-of-bannons-right-wing-academy-idUSKCN1T235I
[5] https://www.washingtonpost.com/world/europe/italy-disrupts-steve-bannons-plan-for-a-right-wing-academy-in-an-italian-monastery/2019/05/31/0f804838-83d1-11e9-b585-e36b16a531aa_story.html
[6] https://www.thelocal.it/20191011/italy-evicts-bannon-backed-far-right-boot-camp-from-monastery
[7] https://www.latimes.com/california/story/2019-07-21/uc-china-trump-trade-visa
[8] http://www.chinafile.com/conversation/why-fbi-investigating-americans-who-study-china
[9] https://www.npr.org/2019/08/01/746355146/american-graduates-of-chinas-yenching-academy-are-being-questioned-by-the-fbi
[10] http://www.chinafile.com/conversation/why-fbi-investigating-americans-who-study-china
[11] https://www.washingtonexaminer.com/fbi-director-chinese-spies-a-whole-of-society-threat-to-us
[12] https://www.npr.org/2019/06/28/728659124/fbi-urges-universities-to-monitor-some-chinese-students-and-scholars-in-the-u-s
[13] https://www.nytimes.com/2019/07/20/us/politics/china-red-scare-washington.html
[14] https://www.washingtonpost.com/outlook/pretending-all-chinese-companies-are-evil-schemers-will-only-hurt-the-us-economy/2019/11/08/b0d98798-00dc-11ea-9518-1e76abc088b6_story.html
[15] http://president.mit.edu/speeches-writing/chinas-challenge-americas-opportunity
[16] http://www.chinafile.com/conversation/why-fbi-investigating-americans-who-study-china
[17] http://www.foreignaffairs.com/articles/59876/lucian-w-pye/jesus-in-beijing-how-christianity-is-transforming-china-and-chan
[18] https://vimeo.com/39454827
[19] https://cla.purdue.edu/directory/profiles/fenggang-yang.html
[20] https://backtojerusalem.com/product/jesus-in-iran/
[21]https://www.telegraph.co.uk/news/worldnews/middleeast/palestinianauthority/2613399/Mosab-Hassan-Yousef-son-of-Hamas-leader-becomes-a-Christian.html