(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Trump brandishes art of the deal flair with new, bigger tariff threat
By Christopher Scott
06/04/2018
ปักกิ่งไม่เพียงประกาศพรักพร้อมตอบโต้แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” อย่างทัดเทียมกันเท่านั้น แต่ยังบอกด้วยว่าการเจรจาต่อรองระหว่างสองฝ่ายที่ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นมาเลยนั้น ไม่อาจเปิดขึ้นมาได้ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ หลังจากที่ทรัมป์พยายามนำเอาหลักการเจรจาต่อรองในสไตล์ของเขามาใช้ ด้วยการข่มขู่ขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มมากขึ้นอีก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ไม่ยอมลดละความพยายามเพื่อโชว์ออฟความสามารถองอาจของเขาในการเจรจาต่อรอง โดยในคืนวันพฤหัสบดี (5 เม.ย.) ได้โยนระเบิดอีกลูกหนึ่งเข้าใส่การพูดจาหารือกับจีนที่ทำท่าอาจจะกำลังเกิดขึ้นมาได้ หลังจากปักกิ่งเกทับจุดยืนตั้งต้นของเขา ด้วยข้อเสนอที่จะขึ้นภาษีศุลกากรอย่างสูงลิบลิ่วพอๆ กัน
อันที่จริงแล้ว ปักกิ่งประกาศรายชื่อสินค้าเข้าอเมริกันรวมมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ที่คอยท่าจะถูกขึ้นอัตราภาษีศุลกากร ตอบโต้ใส่ทรัมป์แทบจะในทันทีหลังจากทำเนียบขาวเผยแพร่บัญชีของตนที่จะเพิ่มภาษีผลิตภัณฑ์นำเข้าจากแดนมังกรในมูลค่าประมาณเดียวกัน คำมั่นสัญญาของปักกิ่งที่จะแลกหมัดกับทรัมป์แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” เช่นนี้ ข่มการคุกคามในตอนต้นของทรัมป์เสียจมมิด และการทำให้การเจรจาต่อรองต้องถอยกลับมายังจุดเริ่มต้นกันใหม่
ครั้นแล้วในคืนวันพฤหัสบดี (6 เม.ย.) ด้วยการข่มขู่ใหม่อีกครั้งโดยคราวนี้ฮึ่มฮั่มว่าจะขึ้นภาษีจากสินค้าเข้าของจีนมูลค่าถึงระดับ 100,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว ทรัมป์ก็กำลังตอกย้ำกฎการเจรจาต่อรองข้อที่ 1 ของเขา ซึ่งก็คือ “คิดให้ใหญ่เข้าไว้” (think big)
“แทนที่จะแก้ไขเยียวยาความประพฤติที่ไม่ถูกต้องของตน จีนกลับเลือกที่จะสร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรของเราและโรงงานผู้ผลิตอุตสาหกรรมของเรา” ทรัมป์กล่าวเช่นนี้ในคำแถลง “เมื่อคำนึงถึงการตอบโต้อย่างไม่เป็นธรรมของจีนแล้ว ผมจึงชี้แนะให้ยูเอสทีอาร์ (สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ) พิจารณาว่าจะเป็นการเหมาะสมตามมาตรา 301 (แห่งรัฐบัญญัติการค้าของสหรัฐฯ) หรือไม่ที่จะขึ้นภาษีศุลกากรเพิ่ม (เอากับสินค้าเข้าจากจีน) เป็น 100,000 ล้านดอลลาร์ และหากมีความเหมาะสมแล้ว ก็ขอให้ระบุว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรดังกล่าวกับผลิตภัณฑ์ใดบ้าง” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.whitehouse.gov/briefings-statements/statement-president-donald-j-trump-additional-proposed-section-301-remedies/)
ถึงแม้ในคราวนี้ จีนไม่ได้ตอบโต้กลับด้วยความพร้อมพรักที่จะขึ้นภาษีศุลกากรในระดับทัดเทียมกัน –ทรัมป์ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวปล่อยหมัดครั้งนี้โดยที่ทุกๆ ฝ่ายไม่ทันระวังตั้งตัว— แต่ปักกิ่งก็แสดงความพรักพร้อมที่จะนำเอาหลักในการเจรจาต่อรองของประธานาธิบดีอเมริกันผู้นี้ออกมาตอบคืนสนอง โดยที่ข้อสำคัญข้อที่ 2 แห่งหลักในการเจรจาต่อรองตามสไตล์ของทรัมป์ ก็คือ “ปกป้องจุดอ่อนข้อเสียเปรียบของคุณ” (protect your downside) นี่คือสิ่งที่จีนกำลังทำอยู่เชียวแหละในการตอบโต้คำขู่ขึ้นภาษีศุลกากรรอบ 2 ของทรัมป์ ซึ่งควรต้องเน้นย้ำในที่นี้ว่าเวลานี้วอชิงตันยังมิได้มีการนำไปจัดทำรายละเอียดและยื่นเสนอออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างเป็นทางการ
จีนมองว่าทรัมป์กำลังพยายามที่จะบลัฟฟ์ และเลยตามดูตามจี้ให้เห็นดำเห็นแดงไปเลย พร้อมกันนั้นพวกเขายังถึงกับบอกว่า จะไม่ขอเข้าโต๊ะเจรจาต่อรองด้วยภายใต้สถานการณ์อย่างที่เป็นอยู่นี้
“พวกเจ้าหน้าที่ทางการคลังและทางการค้าจากทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ดำเนินการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องการค้านี้” สำนักข่าวเอพีรายงานคำแถลงของ เกา เฟิง (Gao Feng) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน เขาพูดเช่นนี้ถึงแม้ว่า แลร์รี คุดโลว์ (Larry Kudlow) ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของทรัมป์กล่าวยืนยันแข็งขันเมื่อวันพุธ (4 เม.ย.) ว่า การพูดจาหารือกันกำลังดำเนินอยู่
“ถ้าฝ่ายสหรัฐฯประกาศรายชื่อผลิตภัณฑ์ (นำเข้าจากจีน) รวมมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์เพื่อการขึ้นภาษีศุลกากรแล้ว ฝ่ายจีนก็เตรียมพร้อมอยู่อย่างเต็มที่ และจะตอบโต้กลับอย่างไม่มีการลังเลด้วยความเข้มแข็งอย่างใหญ่หลวง” เกากล่าว “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้หรอกที่ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการเจรจาใดๆ เกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้” เขาพูดต่อ
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ปักกิ่งมีทางเลือกอยู่อย่างจำกัดหากจะขึ้นภาษีสินค้าเข้าจากสหรัฐฯเป็นจำนวนมหึมาเช่นนั้น เพราะว่ากันที่จริงตั้งแต่การประกาศตอบโต้สหรัฐฯก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาก็ได้ระบุรายการผลิตภัณฑ์อเมริกันหลายรายการซึ่งเห็นกันว่าการรีดอัตราศุลกากรเพิ่มอาจสร้างความเสียหายขึ้นในแดนมังกรเองด้วย แต่ว่าหนทางหนึ่งซึ่งจีนสามารถหยิบยกนำมาใช้เพื่อการแก้เผ็ดได้ และเท่าที่ผ่านมามักมีการเอ่ยอ้างถึงกันอยู่เสมอด้วย อันได้แก่การเทขายพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็น่าที่จะเป็นออปชั่นหนึ่งซึ่งวางแบอยู่บนโต๊ะเช่นเดียวกัน ดังที่ ไฉซิน (Caixin) สื่อทางการเงินชื่อดังของจีนชี้เอาไว้ในวันศุกร์ (6 เม.ย.) ว่า “การเทขายพันธบัตรคลังสหรัฐฯนั้น จะเป็นเครื่องบั่นทอนความสามารถของจีนในการรักษาเสถียรภาพของสกุลเงินตราของตนเอง เนื่องจากมาตรการนี้จะสร้างความเสียหายให้แก่จีนมากยิ่งกว่าสหรัฐฯด้วยซ้ำ มันจึงจะไม่เกิดขึ้นยกเว้นแต่ว่าไม่สามารถที่จะใช้ทางเลือกอื่นๆ ได้แล้ว”
กระนั้น เมื่อพิจารณาจากบัญชีรายชื่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ที่วอชิงตันจัดทำเสร็จสิ้นและประกาศออกมาให้ทบทวนอยู่ในเวลานี้แล้ว มันก็มองเห็นได้ว่ามีความพยายามที่จะทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และจีนดูเหมือนกำลังวางเดิมพันว่าการคุกคามระลอกใหม่ของทรัมป์เป็นเพียงแค่การออกมาส่งเสียงตะคอกคำรามดังขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
พวกสมาชิกพรรคการเมืองเดียวกับกับทรัมป์เองก็กำลังวาดหวังกันว่าจีนจะเป็นฝ่ายที่คิดได้อย่างถูกต้อง เป็นต้นว่า เบน แซสส์ (Ben Sasse) วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากมลรัฐเนแบรสกา ได้กล่าวเยาะเย้ยการข่มขู่ของประธานาธิบดีทรัมป์เอาไว้ในคำแถลงฉบับหนึ่งซึ่งออกมาเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (5 เม.ย.)
“หวังใจว่าท่านประธานาธิบดีคงเพียงแค่กำลังปลดปล่อยอารมณ์อีกครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเขาซีเรียสจริงจังแม้กระทั่งเพียงแค่ครึ่งเดียว มันก็คือเพี้ยนไปแล้ว” แซสส์บอกพร้อมกับชี้ว่า “ขณะนี้ท่านประธานาธิบดีไม่ได้มีแผนจริงจังอะไรเลยที่จะเอาชนะ แต่เขากำลังคุกคามที่จะจุดไฟเผาเกษตรกรรมอเมริกัน”
ตลาดหุ้นสหรัฐฯดิ่งร่วงในตอนเช้าวันศุกร์ (6 เม.ย.) หลังจากปิดในระดับขยับสูงขึ้นมา 3 วันต่อเนื่องกัน โดยที่พวกนักลงทุนกำลังพยายามย่อยคำพูดท้าตีท้าต่อยในทางการค้าอีกรอบหนึ่งเหล่านี้ (ในตอนปิดตลาดวันศุกร์ ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ตกลงมา 572.46 จุด หรือ 2.34%) ขณะที่คำแถลงของประธานาธิบดีทรัมป์ในคืนวันพฤหัสบดี (5 เม.ย.) นั้น ไม่มีมีตารางเวลาใดๆ สำหรับกำหนดให้พวกเจ้าหน้าที่ด้านการค้าต้องจัดทำข้อเสนอขึ้นภาษีศุลกากรเพิ่มเป็น 100,000 ล้านดอลลาร์ให้เสร็จสิ้น
ตอนนี้ปัจจัยที่ควรจะต้องพิจารณาจะมีอยู่ดังต่อไปนี้:
**จีนฉลาดหลักแหลมหรือไม่ที่ไล่ตามจี้ไปถึงฐานเสียงของทรัมป์ ด้วยการพุ่งเป้าหมายมุ่งเล่นงานถั่วเหลืองอเมริกันที่นำเข้าสู่แดนมังกร? ในการให้สัมภาษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้านี้ พวกผู้สนับสนุนประธานาธิบดีผู้นี้อ้างว่าพวกเขาเห็นพ้องกับข้อสรุปของตัวทรัมป์เองที่ว่า ทรัมป์ “สามารถที่จะยืนท่ามกลางผู้คนแออัดหนาแน่นของถนนฟิฟธ์ เอเวนิว และยิงใส่ใครสักคน โดยที่ (ทรัมป์) จะไม่สูญเสียผู้ออกเสียงใดๆ เลย” อันที่จริงแล้ว แรงสนับสนุนจากฐานเสียงของเขาดูเหมือนจะได้รับการกระตุ้นปลุกเร้าให้คึกคักขึ้นมาอีกด้วยซ้ำไป เมื่อใดก็ตามที่เขาเพิกเฉยไม่แยแสคำแนะนำจากพวกซึ่งถูกมองว่าเป็น “พวกชนชั้นนำ” หรือ “พวกโลกาภิวัตน์” มันจะยังคงเป็นเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่ถึงแม้ในคราวนี้การกระทำของทรัมป์จะกระทบกระเทือนถึงเงินในกระเป๋าของฐานเสียงเหล่านี้จริงๆ แล้ว?
**จากการที่ทรัมป์กับจีนมีการตอบโต้กลับไปกลับมาหลายรอบและเรื่องเกิดการบานปลายขยายตัวออกไปเรื่อยๆ บางทีอาจจะมากที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมาในช่วงแห่งการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาทีเดียว ชื่อเสียงในฐานะเป็นนักเจรจาต่อรองของเขาจึงกำลังเหมือนยืนไต่อยู่บนเส้นลวด เขาพูดอวดอ้างมานานหลายสิบปีแล้วว่าเขาคือบุคคลคนเดียวซึ่งสามารถที่จะผลักดันต่อรองไล่บี้หนักๆ กับปักกิ่งได้ จีนนั้นจะต้องให้อะไรแก่เขาบางสิ่งบางอย่างอยู่หรอกเพื่อที่เขาจะสามารถป่าวร้องโน้มน้าวใครๆ ได้ว่ามันคือชัยชนะ ทว่าจวบจนถึงเวลานี้ ความเป็นไปได้ที่จีนจะให้คำมั่นสัญญาเปิดภาคการเงินและซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวจากสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น ก็ยังดูเหมือนไม่เพียงพอที่จะทำให้ทำเนียบขาวพึงพอใจได้ ขณะที่การยอมอ่อนข้อในเรื่องพวกผลิตภัณฑ์ไฮเทค ซึ่งเป็นรากฐานในแผนการของปักกิ่งที่จะขยับขับเคลื่อนพาตัวเองไต่สูงขึ้นไปในสายโซ่แห่งมูลค่า ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ปรากฏอยู่บนโต๊ะเจรจา โดยที่มันคือเส้นสีแดงซึ่งจีนขีดวงเอาไว้ว่าจะไม่ยอมต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น ทว่ามันกลับเป็นขั้นต่ำสุดที่คณะบริหารทรัมป์กำลังเรียกร้องต้องการจะได้รับ
**ในอีกด้านหนึ่ง ถึงแม้ฐานเสียงของทรัมป์อาจจะยึดมั่นอยู่กับเขาอย่างเหนียวแน่น แต่เขาก็จะตกอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยวจากฝ่ายอื่นๆ อยู่ดี ถ้าหากสงครามการค้าส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก โดยที่จีนสามารถที่จะได้รับความสนับสนุนจากฝ่ายอื่นๆ ทั่วโลกได้ทีเดียว