เอเอฟพี - เม็กซิโก ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของละตินอเมริการองจากบราซิล เข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 2 ไตรมาสของปีและมีอัตราการเติบโตเป็นศูนย์ในช่วงไตรมาส 3 ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการฉบับทบทวนที่เผยแพร่ในวันจันทร์(25พ.ย.)
การปรับแก้ในทางลบครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงผลงานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอของเม็กซิโก ภายใต้การบริหารงานของประธานธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ซึ่งกำลังดิ้นรนอย่างหนักในความพยายามทำตามคำสัญญาว่าจะเริ่มกระตุ้นการเติบโตในปีแรกที่เข้ารับตำแหน่ง
ข้อมูลฉบับปรับปรุงของสถาบันสถิติแห่งชาติเม็กซิโก(INEGI) พบว่าเศรษฐกิจของประเทศในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี หดตัวลงไตรมาสละ 0.1% และอยู่ในภาวะซบเซาในไตรมาส 3 หลังจากเบื้องต้นประมาณการว่าเศรษฐกิจของเม็กซิโก จะหดตัว 0.2% ในไตรมาสแรก จากนั้นขยายตัว 0.1 ในตรมาส 2 ก่อนมีการรปรับแก้เหลือศูนย์ และหดตัวอีกครั้ง 0.1% ในตรมาส 3
ข่าวคราวดังกล่าวเป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจของเม็กซิโกได้ถลำเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีแรก ตามคำนิยมของเศรษฐกิจถดถอย อันเนื่องจากเศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
นอกจากนี้แล้วเมื่อเทียบแบบรายปี พบว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3 ของเม็กซิโก หดตัว 0.2 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2018
ประธานาธิบดีโลเปซ โอบราดอร์ เข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2018 พร้อมคำสัญญาว่าจะผลักดันให้เกิดการเติบโตเศรษฐกิจให้ได้ 2% ในปี 2019 และมีค่าเฉลี่ยที่ 4% ตลอดระยะการดำรงตำแหน่ง 6 ปีของเขา
อย่างไรก็ตามเขากลับมีปัญหากระทบกระทั่งกับประชาคมนักธุรกิจในประเด็นสำคัญต่างๆนานา ในนั้นรวมถึงกรณียกเลิกโครงการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ของกรุงเม็กซิโกซิ มูลค่า 13,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเหลือแค่ 1 ใน 3 ก็จะแล้วเสร็จ แล้วแทนที่มันด้วยโครงการอื่นแทน
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังถูกกัดเซาะจากแนวโน้มทางการเงินอันน่ากลัวของพีเม็กซ์ รัฐวิสาหกิจพลังงาน ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดของเม็กซิโก โดยปัจจุบัน พีเม็กซ์มีหนี้มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีหนี้ค้างมากที่สุดในโลก
รัฐบาลของโลเปซ โอบราดอร์ อัดฉีดเงินเกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์ในเงินทุนช่วยเหลือบริษัทแห่งนี้ แต่จนถึงตอนนี้ดูเหมือนมันจะได้ผลเพียงเล็กน้อย
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของเม็กซิโกยังคงอยู่ในความไม่แน่นอนมากขึ้นไปอีก เมื่อสหรัฐฯและเม็กซิโกยังไม่ได้ให้สัตยาบันรับรองข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือ USMCA ที่ลงนามกันไปเมื่อปีที่แล้ว
เม็กซิโก ซึ่งให้สัตยาบันรับรองข้อตกลงดังกล่าวไปแล้ว ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯคิดเป็นกว่า 80% ของการส่งออกทั้งหมด และต้องพึ่งพิงอย่างหนักต่อการค้ากับ 2 ชาติยักษ์ใหญ่เพื่อนบ้านทางเหนือของประเทศ
