นางสาวนิตยา เลิศแสงเพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์และช่องทางบริการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด (บลจ.วี) เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีหลายปัจจัยกดดันให้การลงทุนเกิดความผันผวน โดยเฉพาะเรื่องข้อพิพาททางการค้าของสหรัฐฯ กับจีนที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่งสะท้อนจากรายงานตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ภาคการส่งออก ตัวเลขการจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (PMI) และการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลง จนธนาคารกลางต่างๆ เริ่มใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยและการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นการลงทุน และคาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
ขณะเดียวกัน ตลาดการลงทุนยังคงเผชิญสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในเชิงภูมิศาสตร์ทั่วโลก (Geopolitical risk) เช่น ปัญหาความรุนแรงในตะวันออกกลาง, ความไม่ชัดเจนของเรื่อง Brexit, การประท้วงในสเปน ชิลี และฮ่องกง รวมไปถึงความไม่แน่นอนการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับจีน
ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางเพื่อรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลลดความน่าสนใจลง การจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ที่มีกระแสรายได้สม่ำเสมอและสามารถรักษามูลค่าของเงินลงทุนได้ในระยะยาว รวมถึงสามารถสร้างโอกาสผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวดีขึ้น เป็นแนวทางการลงทุนที่เหมาะต่อภาวะตลาดปัจจุบัน
ล่าสุดบริษัทจึงเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) “กองทุนเปิด วี มัลติ แอสเซท อินคัม (WE-MULTI) ระหว่างวันที่ 25-31 ต.ค. 2562 โดยลงทุนผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Multi Asset Income Fund ที่มีนโยบายการลงทุนเน้นกระจายลงทุนในหลักทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ อสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงตราสารทุน ซึ่งบริหารจัดการโดย Baillie Gifford & Co Limited ผู้จัดการกองทุนในประเทศอังกฤษที่มีความโดดเด่นในด้านการดูแลพอร์ตการลงทุนของ Pension Fund ในต่างประเทศ
ทั้งนี้ กองทุนหลักใช้กลยุทธ์ลงทุนด้วยการปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับภาวะตลาด (Active asset allocation) ด้วยการคัดเลือกตราสารลงทุนต่างๆ แบบผสมหลากหลาย เน้นสินทรัพย์ที่สร้างกระแสรายได้ (Securities Selection) พร้อมด้วยกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง (Hedging strategies) เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตในการรักษามูลค่าเงินลงทุน
นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน “บลจ.วี” กล่าวว่า ในด้านการบริหารพอร์ตการลงทุน ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและทำให้ตลาดเงินตลาดทุนมีความผันผวน การเลือกสินทรัพย์หรือการจับจังหวะลงทุนจึงอาจทำได้ค่อนข้างยาก ขณะเดียวกันการจะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำหรือถือเงินสดเพียงอย่างเดียวทำให้ได้ผลตอบแทนที่ต่ำหรือไม่ชนะเงินเฟ้อ
ด้วยกลยุทธ์การลงทุนร่วมกับพันธมิตรของ บลจ.วี ในต่างประเทศ ในไตรมาส 4 บลจ.วีแนะนำการจัดพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงพร้อมกับไม่ปิดโอกาสการสร้างผลตอบแทน ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนของ Baillie Gifford ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนของกองทุน Pension Fund ซึ่งเน้นการลงทุนในลักษณะนี้สามารถตอบวัตถุประสงค์การลงทุนที่ดี สะท้อนจากกองทุนหลักมีผลตอบแทนที่น่าสนใจแม้ในช่วงตลาดผันผวน โดยช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (1 ต.ค. 2018-31 ส.ค. 2019) ให้ผลตอบแทนที่ 10.30% ขณะที่มีอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Sharpe Ratio) อยู่ที่ 1.34% และในช่วงปีนี้ที่ตลาดมีความผันผวน ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2562 มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 16.60% ขณะที่กลุ่มกองทุนประเภทเดียวกัน (Peers Performance) อยู่ในระดับ 10.10% ซึ่งสะท้อนว่ากองทุนมีการลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้เหมาะกับภาวะตลาดได้ดีอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนหลักของกองทุนเปิด WE-MULTI จะเน้นลงทุนในตราสารที่สร้างรายได้ทั่วโลก โดยปัจจุบันมีสัดส่วนลงทุนในตราสารทุนประมาณ 28% ลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Fixed Income ทั่วโลกประมาณ 42% และลงทุนในสินทรัพย์ประเภทกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 25%
กองทุนเปิด WE-MULTI เป็นกองทุนผสมที่น่าสนใจในช่วงภาวะตลาดเช่นนี้ โดยกองทุนเน้นรักษามูลค่าเงินลงทุนในระยะยาวและปรับพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับภาวะตลาดที่ผันผวน และมีความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในระดับต่ำ โดยปัจจุบันกองทุนหลักสร้างผลตอบแทนจากรายได้ของสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนที่ระดับ 3.5-4.5% ต่อปี