เอเจนซีส์ - บรรดาผู้นำทั่วโลกพากันเตือนในวันจันทร์ (28 ต.ค.) ว่า การสู้รบปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรง “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ยังไม่จบสิ้น ขณะที่รัสเซียกล่าวยกย่องแบบมีเงื่อนไข หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (27) ว่า อบู บาการ์ อัล-บักดาดี ผู้นำไอเอสเสียชีวิต “เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง” ในการปฏิบติการบุกจู่โจมตีเข้าไปในภาคตะวันตกเฉียงเหนือซีเรียของกองทหารสหรัฐฯ
ในการปราศรัยทางโทรทัศน์ถ่ายทอดไปทั่วประเทศตอนเช้าวันอาทิตย์ (27) ทรัมป์ได้บรรยายเหตุการณ์จู่โจมทางอากาศอย่างห้าวหาญในช่วงเวลากลางคืนของกองทหารปฏิบัติการพิเศษอเมริกันคราวนี้ ในบริเวณพื้นที่จังหวัดอิดลิบ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย และระบุว่ากำลังทหารสหรัฐฯ เหล่านี้บินข้ามพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยกำลังทหารและควบคุมโดยหลายๆ ชาติและหลายๆ กองกำลังอาวุธ ทรัมป์ยืนยันว่าไม่มีทหารสหรัฐฯเสียชีวิตเลยในการปฏิบัติการคราวนี้
ทรัมป์เล่าว่า ขณะที่กองทหารสหรัฐฯ บุกตรงเข้าไปที่ตัวอัล-บักกาดีอย่างรวดเร็ว และน่าตื่นตระหนก ผู้นำไอเอสผู้นี้ได้หลบหนีเข้าไปในอุโมงค์ “ที่เป็นทางตัน” แห่งหนึ่งพร้อมกับลูกๆ ของเขา 3 คน แล้วจัดการจุดระเบิดเข็มขัดระเบิดฆ่าตัวตาย ทำให้เขาเสียชีวิตพร้อมลูกๆ
“เขาเป็นคนป่วย เป็นคนชั่วช้าเลวทราม และตอนนี้เขาก็ถึงจุดจบแล้ว” ทรัมป์บอก “เขาตายเหมือนกับเป็นสุนัขตัวหนึ่ง เขาตายเหมือนเป็นคนขี้ขลาดคนหนึ่ง” และกล่าวด้วยว่า อัตลักษณ์ของอัล-บักดาดี ได้รับการยืนยันเป็นบวกด้วยการทดสอบทางดีเอ็นอีซึ่งกระทำ ณ สถานที่เกิดเหตุ
การปฏิบัติการคราวนี้นับเป็นหลักหมายแสดงถึงความสำเร็จด้านนโยบายการต่างประเทศครั้งสำคัญของทรัมป์ ซึ่งปรากฏขึ้นมาในเวลาที่อยู่ในจุดต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา โดยที่เขาทั้งกำลังติดหล่มจมโคลนในกระบวนการสืบสวนเพื่อถอดถอนตัวเขาออกจากตำแหน่ง และก็กำลังถูกประณามอย่างกว้างขวางรวมทั้งจากพรรครีพับลิกันของเขาเองด้วยจากนโยบายเรื่องซีเรียของเขา
ในการแถลงที่ทำเนียบขาวคราวนี้ ทรัมป์เผยว่าการวางแผนสำหรับการปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน หลังสหรัฐฯได้รับข่าวกรองเกี่ยวกับที่หลบซ่อนของอัล-บักดาดี ขณะที่ในการปฏิบัติการ ทรัมป์บอกว่ามีการใช้เฮลิคอปเตอร์ทหารของสหรัฐฯจำนวน 8 ลำ บินเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง เหนือพื้นที่ซึ่งควบคุมโดยกองทหารรัสเซียและกองทหารซีเรีย ก่อนที่จะร่อนลงท่ามกลางการยิงต่อสู้กัน ณ จุดที่เป็นอาคารเป้าหมาย
ทรัมป์บอกว่ากำลังทหารสหรัฐฯ ใช้วิธีพังกำแพงของอาคารดังกล่าวเข้าไป เนื่องจากประตูถูกวางกับระเบิดเอาไว้ และไล่ติดตามอัล-บักดาดีเข้าไปในอุโมงค์ดังกล่าว ซึ่งได้พังลงมาเป็นบางส่วนภายหลังการจุดระเบิดเข็มขัดฆ่าตัวตายของอัล-บักดาดี ทรัมป์ยังเปิดเผยด้วยว่า กองทหารสหรัฐฯใช้เวลาอยู่ที่ภาคพื้นดินราวๆ 2 ชั่วโมงเพื่อเก็บรวบรวมข่าวกรอง
ทางด้านรัฐมนตรีกลาโหม มาร์ก เอสเพอร์ แถลงว่า ภารกิจนี้มุ่งที่จะจับตัวหรือสังหารผู้นำไอเอสผู้นี้ ขณะที่ทรัมป์กล่าวในตอนแรกว่าไม่มีชาวอเมริกันคนไหนได้รับบาดเจ็บเลย แต่เอสเพอร์กล่าวแก้ให้ในเวลาต่อมาว่า มีทหาร 2 คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแต่เวลานี้สามารถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว
สำหรับ โรเบิร์ต โอเบรียน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ แถลงว่า ศพของอัล-บักดาดีจะได้รับการจัดการโดยสอดคล้องกับกฎหมายอิสลาม และนำไปฝังในทะเลด้วยวิธีเดียวกับการฝังศพของบิน ลาเดน
ทางด้าน โฆษกวังเครมลิน ดมิตริ เปสคอฟ ไม่ตอบคำถามที่ว่าสหรัฐฯได้แจ้งรัสเซียทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้หรือไม่ แต่ก็เสริมว่า “ถ้าข้อมูลข่าวสารนี้ได้รับการยืนยันแล้ว เราก็สามารถพูดเกี่ยวกับคุณูปการอันจริงจังของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ในการสู้รบปราบปรามการก่อการร้ายระหว่างประเทศ”
สำหรับบรรดาผู้นำและพวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของประเทศต่างๆ ทั่วโลก พากันแสดงความชื่นชมข่าวการถูกสังหารของอัล-บักดาดี แต่ก็บอกด้วยว่าการรณรงค์ปราบปรามไอเอสยังไม่จบสิ้น โดยพวก “สุนัขป่าผู้โดดเดี่ยว” ยังน่าที่จะหาทางก่อเหตุแก้แค้น
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส กล่าวว่า การตายของอัล-บักดาดี เป็นการตีกระหน่ำครั้งใหญ่ใส่พวกรัฐอิสลาม แต่ “การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปเพื่อทำให้องค์การก่อการร้ายร้ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด”
นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ บอกว่า “เราจะทำงานร่วมกับเหล่าหุ้นส่วนพันธมิตรของเรา เพื่อนำมาซึ่งความสิ้นสุดอย่างสิ้นเชิงของบรรดากิจกรรมมุ่งเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อนของพวกดาเอช (ชื่อย่อในภาษาอาหรับของกลุ่มรัฐอิสลาม)”
ขณะที่นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย บอกว่า “นี่เป็นปีศาจร้ายที่มีหลายหัว … เมื่อคุณตัดหัวหนึ่งขาดไป อีกหัวหนึ่งก็จะโผล่ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น”
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นจุดโฟกัสสำคัญจุดหนึ่งของพวกไอเอส พวกเจ้าหน้าที่กล่าวว่า กองกำลังความมั่นคงกำลงเตรียมพร้อมเพื่อการสู้รบระยะยาวในการสกัดกั้นขัดขวางอุดมการณ์ของกลุ่มนี้
ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นบ้านของพวกหัวรุนแรงอิสลามิสต์ที่มีการจัดองค์กรมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ต่างบอกว่าพวกเขาเฝ้าระวังเพื่อรับมือกับการแก้แค้นของพวกที่จงรักภักดีต่อกลุ่มรัฐอิสลาม รวมทั้งการโจมตีแบบ “สุนัขป่าผู้โดดเดี่ยว” ของคนท้องถิ่นที่ได้รับแนวความคิดหัวรุนแรงจากไอเอส