รอยเตอร์ - หลุยส์ วิเดการาย รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโกในวันอังคาร (19 มิ.ย.) ประณามนโยบายแยกลูกผู้อพยพจากพ่อแม่ ณ ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ว่า “โหดร้ายและขาดมนุษยธรรม” พร้อมเรียกร้องอเมริกาทบทวนแนวทางปฏิบัติดังกล่าว
ภาพถ่ายที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นรูปเด็กๆ และเยาวชนนั่งอยู่ในคอกพื้นปูนตามศูนย์พักพิงต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ กระพือความขุ่นเคืองในวงกว้าง แต่พวกเจ้าหน้าที่อเมริกาปกป้องมาตรการดังกล่าวว่าเป็นแนวทางสำหรับคุ้มกันชายแดนและขจัดการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
“ชัดเจนว่ามันละเมิดสิทธิมนุษยชนและนำพาเด็กๆ ในนั้นหลายคนเป็นผู้พิการ อยู่ในสถานการณ์อ่อนแอ” วิเดการาย แถลงกับผู้สื่อข่าวในกรุงเม็กซิโก ซิตี
วิเดการายบอกว่า รัฐบาลเม็กซิโกแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และได้หยิบยกเรื่องนี้หารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติ ในนั้นรวมถึง อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการยูเอ็น
จากการบังคับใช้นโยบายปราบปรามผู้อพยพอย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ทำให้เยาวชน 1,995 คน รวมถึงเด็กอ่อนที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ถูกแยกมาจากผู้ปกครอง 1,940 คนที่เป็นผู้อพยพเข้าเมืองโดยไม่มีเอกสารรับรอง
ในเรื่องนี้ วิเดการาย ให้ข้อมูลว่าในบรรดาเยาวชน 1,995 คน มีเด็กชาวเม็กซิโกรวมอยู่ด้วยราว 1% และส่วนใหญ่ถูกส่งกลับประเทศแล้ว
วิเดการาย เผยว่าในบรรดาเยาวชนเม็กซิโก 21 คนที่ถูกแยกจากพ่อแม่ คือเด็กหญิงวัย 10 ขวบซึ่งป่วยเป็นดาวน์ซินโดรม ขณะที่เธอถูกกักตัวในเมืองแม็กอัลเลน รัฐเทกซัส
ทั้งนี้ เธอถูกกักตัวอยู่ตามศูนย์พักพิงของสำนักงานตั้งรกรากใหม่ผู้อพยพ สังกัดกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนของสหรัฐฯ ส่วนแม่ของเด็กถูกส่งไปยังสถานที่อีกแห่ง
เจฟ เซสชันส์ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศนโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” เมื่อเดือนเมษายน โดยระบุว่าพวกคนเข้าเมืองทุกคนที่ถูกจับกุมขณะกำลังข้ามชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกอย่างผิดกฎหมาย ควรถูกดำเนินคดีอาญา
นโยบายดังกล่าวนำมาซึ่งการแยกลูกผู้อพยพจากพ่อแม่ เพราะว่าเมื่อหน่วยงานชายแดนส่งฟ้องพวกคนเข้าเมืองผิดกฎหมายต่อศาล พวกพ่อแม่เหล่านั้นจะถูกคุมขังในเรือนจำรัฐบาลกลางเพื่อรอการพิจารณาคดี ในขณะที่เด็กๆ จะถูกคุมตัวไว้ที่ศูนย์กักกันต่างๆ
เด็กส่วนใหญ่มาจากอเมริกากลาง โดยเฉพาะกัวเตมาลา, ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์
ทั้งนี้ ฮอนดูรัส ในวันจันทร์ (18 มิ.ย.) เรียกร้องสหรัฐฯ ยุติมาตรการยกลูกผู้อพยพจากพ่อแม่ ส่วนเอลซัลวาดอร์ระบุว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้สุขภาพของเด็กตกอยู่ในความเสี่ยงและอาจก่อความหวาดกลัวในจิตใจ