เอเอฟพี/เอพี – การเลือกตั้งทั่วไปออสเตรียวันนี้(15 ต.ค) อาจมีสิทธิ์เห็นผู้นำยุโรปที่มีอายุน้อยที่สุดได้รับเลือกเข้ามบริหารประเทศ เมื่อพบว่า เซบาสเตียน คัวร์ซ (Sebastian Kurz) วัยแค่ 31 ปีจากพรรคสายอนุรักษ์ พีเพิล ปาร์ตี( OeVP )ที่มีนโยบายแข็งกร้าวกับการอพยพ และเอาใจด้านภาษี อาจจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรียคนถัดไป นำประเทศเข้าสู่การเมืองปีกขวาครั้งแรกรอบ 10 ปี
เอเอฟพีรายงานวันนี้(15 ต.ค) ว่า ประชาชนชาวออสเตรีย 8.75 ล้านคนต้องออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์(15 ต.ค) ในการเลือกตั้งแบบฉับพลันเพื่อหาผู้นำคนใหม่มาบริหารประเทศ
แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนมีสัญญาณที่ส่งออกไปในทิศทางเดียวกันว่า ชาวออสเตรียมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแนวทางประเทศ โดยต้องการให้การเมืองปีกขวาเข้ามาในส่วนบริหารเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ทั้งนี้พบว่า เซบาสเตียน คัวร์ซ (Sebastian Kurz) วัยแค่ 31 ปีจากพรรคสายอนุรักษ์ พีเพิล ปาร์ตี( OeVP) อาจมีสิทธิ์ขึ้นมาทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลออสเตรียคนใหม่
ซึ่งพบว่าคัวร์ซอยู่ในวัยแค่ 31 ปีเท่านั้น และหากสามารถชนะการเลือกตั้ง จะส่งผลทำให้เขากลายเป็นผู้นำประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่มีอายุน้อยที่สุดในเวลานี้ หลังก่อนหน้าประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูแอล มาครง เป็นผู้คว้าตำแหน่งนี้ไป
เอเอฟพีรายงานว่า พรรคพีเพิล ปาร์ตี ที่ได้รับการยกเครื่องใหม่ภายใต้การมีจุดขายด้วยภาพลักษณ์ของคัวร์ซทั้งด้านความเข้มงวดกับผู้อพยพ และการลดมาตรการทางภาษี เชื่อว่าหากพรรคของเขาสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้จริง สื่อเอเอฟพีกล่าวว่า เชื่อว่าจะจับมือร่วมกับพรรคฟรีดอม ปาร์ตี (FPOe)ซึ่งเป็นพรรคการเมืองขวาจัดของออสเตรีย มีแนวทางไม่เอาผู้อพยพ และไม่เห็นดัวยกับบรัสเซลส์
โดยมีการชี้ว่าอ้างอิงจากสำนักโพล เชื่อว่าพรรคของคัวร์ซอาจจะชนะมากกว่า 30% โดยมาเป็นอันดับ 1 ส่วนพรรค พรรคฟรีดอม ปาร์ตี ที่คาดว่าอาจจะมาเป็นอันดับ 2 หรือ 3 นั้น คาดว่าได้ไม่ต่ำกว่า 25 %
ทั้งนี้พบว่าจากประชากรทั้งหมด 8.75 ล้านคน มีพลเมืองออสเตรียร่วม 6.4 ล้านคนมีสิทธิ์ลงคะแนนที่คูหาวันนี้(15 ต.ค)ที่จะปิดลงในเวลา 17.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น
เอเอฟพีชี้ว่า ออสเตรียประกาศการเลือกตั้งเร็วกว่ากำหนดเกิดขึ้นเมื่อ เซบาสเตียน คัวร์ซ์ เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพีเพิล ปาร์ตีเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งในสมัยรัฐบาลปัจจุบันอยู่พรรคของเขาอยู่ในฐานะพรรคร่วม และหลังจากนั้นคัวร์ซได้ให้ทางพรรคทำการตกลงกับพรรคโซเชียลเดโมแครตส์(Social Democrats)ของนายกรัฐมนตรีออสเตรียคนปัจจุบัน คริสเตียน เคิร์น และนำออสเตรียไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ก่อนกำหนด
เอเอฟพีรายงานว่า คัวร์ซในฐานะหัวหน้าพรรคพีเพิล ปาร์ตี ซึ่งก่อตั้งตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย 1945 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทำการดึงคนรุ่นใหม่นอกแวดวงการเมืองออสเตรียเข้ามา และพร้อมประกาศใช้นโยบายหาเสียงเลียนแบบผู้นำสหรัฐฯ “ออสเตรียต้องมาก่อน” หรือ “Austrians first”
ซึ่งพบว่าชายผู้นี้สามารถสร้างชื่อได้จากการที่ปิดเส้นทางผู้อพยพบัลข่านตะวันตกในปี 2016 สำเร็จในขณะที่กำลังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรีย
ในการดำเนินนโยบายไปในแนวทางการเมืองขวา คัวร์ซประกาศจะตัดเงินสวัสดิการสนับสนุนชาวต่างชาติทุกคนในประเทศ และสั่งปิดโรงเรียนอนุบาลมุสลิม รวมไปถึงนโยบายผ่อนปรนภาษีครั้งใหญ่ การลดการทำงานตามขั้นตอนแบบราชการ รวมไปถึงทำให้บรัสเซลส์ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในออสเตรียได้
ด้านหนึ่งในผู้สนับสนุนพรรคพีเพิล ปาร์ตี มิเชล บรันด์ชเต็ตเตอร์(Michael Brandstetter) ได้ออกมาเปิดใจว่า “ดิฉันรู้สึกในแง่ดี” และกล่าวต่อว่า “คิดว่าแนวทางของคัวร์ซนั้นเป็นสิ่งที่จับใจผู้คน”
เอพีรายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งวันอาทิตย์(15 ต.ค) ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนต่างเห็นการทำนโยบายที่ต่างกันไป โดย 2 พรรคใหญ่มุ่งเสนอนโยบายปัญหาผู้อพยพเข้าประเทศ และภัยแนวคิดมุสลิมสุดโต่ง ในขณะที่พรรคที่ 3 ชูธงการให้ความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งเอพีรายงานสอดคล้องกับเอเอฟพีว่า การเมืองในอนาคตของออสเตรียนั้นคาดว่าจะอยู่ในกำมือของการเมืองปีกขวา ซึ่งจะมีผู้ได้รับเลือกในวันนี้(15 ต.ค) ให้เข้ามาทำหน้าที่ในรัฐสภาจำนวน 183 คน
เอพีรายงานว่า ก่อนหน้านี้พรรคพีเพิล ปาร์ตี นั้นในอดีตเคยพรรคการเมืองสายกลางแต่ในภายหลังเปลี่ยนแนวทางเป็นการเมืองปีกขวา ซึ่งเอพีอธิบายว่า ถึงแม้แนวทางการต่อต้านผู้อพยพของพรรคพีเพิล ปาร์ตีจะคล้ายกับของพรรคฟรีดอม ปาร์ตี แต่พลเมืองออสเตรียชื่นชมพรรคพีเพิล ปาร์ตีของคัวร์ซมากกว่า จากเหตุผลที่พรรคฟรีดอม ปาร์ตี มีความก้าวร้าว และใช้ภาษาที่รุนแรงและหยายคายในการเรียกขานผู้อพยพ และชาวมุสลิม อันเป็นแนวคิดแสดงความเกลียดชังออกมา และยังรวมไปถึงยังเป็นพรรคการเมืองที่เป็นที่ชื่นชอบของบรรดากลุ่มนีโอนาซี
ทั้งนี้พรรคของคัวร์ซเสนอแนวทางการจัดการปัญหาการเข้าเมืองผิดกฎหมายและแนวคิดมุสลิมสุดโต่งด้วยมาตรการที่มีความเข้มข้น ซึ่งตรงใจกับพลเมืองออสเตรียที่ต้องรับศึกหนัก และปวดหัวกับปัญหาผู้อพยพ แต่ไม่ต้องการแนวคิดความเกลียดชังเข้ามา