รอยเตอร์ - ทรัมป์บอกเป็นนัยกำลังชั่งใจเรื่องจะใช้ปฏิบัติการทางทหารปราบพยศเกาหลีเหนือ เพราะเห็นได้ชัดว่าแนวทางการเจรจาของประธานาธิบดีคนก่อนๆ ทั้งเสียเวลา เสียเงิน และ เสียหน้า ด้านผู้นำเกาหลีเหนือ “คิม จองอึน” โอ่อาวุธนิวเคลียร์โสมแดง “ทรงอานุภาพ” สามารถรับประกันอธิปไตยของประเทศได้แน่นอน
เมื่อวันเสาร์ (7 ต.ค.) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความว่า ผู้นำอเมริกาและคณะบริหารชุดก่อนๆ เจรจากับเกาหลีเหนือมา 25 ปี ทำข้อตกลงและจ่ายเงินให้มากมายมหาศาล
“แต่กลายเป็นว่า ข้อตกลงถูกละเมิดก่อนที่หมึกจะแห้งด้วยซ้ำ คณะผู้เจรจาของอเมริกาถูกต้ม เสียใจด้วย มีเพียงวิธีเดียวที่จะได้ผล!” ทรัมป์ ระบุทางทวิตเตอร์
แม้ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้เฉลยว่าหมายถึงวิธีใด แต่ดูเหมือนทวิตดังกล่าวต้องการตอกย้ำว่า เป้าหมายที่อยู่ในใจคือปฏิบัติการทางทหาร โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยประกาศว่าถ้าจำเป็นจะทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซากเพื่อปกป้องอเมริกาและพันธมิตร
ต้นสัปดาห์ที่แล้วระหว่างพบกับผู้นำทางทหารของสหรัฐฯ และคู่สมรส ทรัมป์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า “สถานการณ์สงบดีก่อนมีพายุ” เมื่อถูกขอให้อธิบาย เขาตอบแค่ว่า “แล้วพวกคุณก็จะเห็นเอง”
ก่อนออกเดินทางไปนอร์ธแคโรไลนาเมื่อวันเสาร์ ประมุขทำเนียบขาว ย้ำว่า ไม่มีอะไรจะอธิบายเพิ่ม ขณะที่ ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวก็ตอบผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับทวิตล่าสุดของทรัมป์ว่าไม่มีความเห็น
ส่วนกระทรวงกลาโหม แถลงว่า งานของกระทรวง คือ เสนอตัวเลือกทางทหารให้ประธานาธิบดีพิจารณา และปฏิบัติตามคำสั่ง ขอให้นักข่าวไปสอบถามกับทำเนียบขาวแทน
ทวีตของทรัมป์ ย้ำว่า เขาไม่พอใจทางเลือกในการเจรจากับเกาหลีเหนือ หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว เขาวิจารณ์ว่าเสียเวลาเปล่า ในตอนที่ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศแถลงว่า วอชิงตันยังคงเปิดช่องทางการสื่อสารกับเปียงยาง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยืนยันเมื่อวันเสาร์ว่า แม้มองต่างมุมกันในบางเรื่อง แต่ความสัมพันธ์กับทิลเลอร์สันยังคงดีอยู่
ต่อมาในวันอาทิตย์ (8 ต.ค.) สำนักข่าวของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า คิม จอง-อึน กล่าวระหว่างการปราศรัยเกี่ยวกับ “สถานการณ์ระหว่างประเทศอันซับซ้อน” ต่อคณะกรรมการกลางของพรรคแรงงานอันทรงอิทธิพลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
คิม ระบุว่า อาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นเครื่องมือป้องปรามทรงอานุภาพที่สามารถปกป้องสันติภาพและความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลีและเกาหลีเหนือได้
ผู้นำโสมแดงยังกล่าวอีกว่า สถานการณ์ปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นว่านโยบาย “บยองจิน” หรือการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์คู่ขนานไปกับเศรษฐกิจ “ถูกต้องอย่างยิ่ง” เห็นได้จากเศรษฐกิจปีนี้ที่เติบโตเข้มแข็งแม้ถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) คว่ำบาตรก็ตาม
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่น 2 ครั้ง รวมถึงทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 และอาจกำลังรุกคืบอย่างรวดเร็วสู่จุดหมายในการพัฒนาขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ที่สามารถยิงถึงแผ่นดินใหญ่อเมริกา
สมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งของรัสเซียที่เพิ่งเดินทางกลับจากเยือนเปียงยาง เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (6 ต.ค.) ว่า เกาหลีเหนือกำลังเตรียมทดสอบบางสิ่ง ซึ่งอาจเป็นการยิงขีปนาวุธ
นอกจากการโอ้อวดโครงการอาวุธแล้ว คิมยังแต่งตั้ง “คิม โยจอง” น้องสาววัย 28 ปี เป็นสมาชิกสมทบในกรมการเมือง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดและมีคิมเป็นประธาน
ไมเคิล แมดเดน ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือของเว็บไซต์ “38 นอร์ธ” ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ มองว่า การแต่งตั้งนี้ทำให้สองพี่น้องตระกูลคิมเป็นสมาชิกเพียงสองคนที่เกิดคนละสหัสวรรษกับสมาชิกคนอื่นๆ และยังบ่งชี้ว่า “คิม โย-จอง” กำลังจะแทนที่ “คิม คยอง-ฮี” ป้าของคิมที่มีอำนาจตัดสินใจสำคัญในสมัยที่ “คิม จอง อิล” อดีตผู้นำเกาหลีเหนือยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเท่ากับเป็นการกระชับอำนาจไว้ในมือตระกูลคิม
เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ คิม โย-จอง พร้อมกับเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนืออีกหลายคนโทษฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง
นอกจากนั้น ในระหว่างการปราศรัยของคิม ยังมีการเลื่อนตำแหน่งเจ้าหน้าที่ 2 ใน 3 ที่อยู่เบื้องหลังโครงการจรวดของเกาหลีเหนือ รวมทั้งปูนบำเหน็จ รี ยอง-โฮ รัฐมนตรีต่างประเทศที่ตราหน้าทรัมป์เป็น “ประธานาธิบดีปีศาจ” กลางที่ประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็นเมื่อเดือนที่แล้ว เป็นสมาชิกที่มีสิทธิ์ออกเสียงโดยสมบูรณ์ในกรมการเมือง ซึ่งเท่ากับการเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มคนที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายระดับสูงของเกาหลีเหนือ