รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งห้ามพลเมืองเกาหลีเหนือ เวเนซุเอลา และชาด เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา ขยายคำสั่งแบนเพิ่มขึ้นเป็นทั้งหมด 8 ประเทศเมื่อวานนี้ (24 ก.ย.) จากเดิมที่มุ่งเล่นงานเฉพาะกลุ่มประเทศมุสลิมจนถูกหลายองค์กรติเตียนและยื่นอุทธรณ์คัดค้านในศาล
อิหร่าน ลิเบีย ซีเรีย เยเมน และโซมาเลีย ยังคงมีชื่ออยู่ในคำสั่งห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ฉบับล่าสุด ส่วนมาตรการแบนพลเมืองซูดานนั้นถูกยกเลิกไป
คำสั่งเดิมของทรัมป์ ที่หมดอายุลงเมื่อค่ำวานนี้ (24) เป็นการห้ามพลเมืองมุสลิมจาก 6 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯ ชั่วคราว เพื่อทำตามสัญญาที่เขาให้ไว้ขณะหาเสียงว่าจะคัดกรองคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวดตามนโยบาย “อเมริกาเฟิร์สต์” ส่วนคำสั่งห้ามเดินทางฉบับใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.เป็นต้นไป และไม่กำหนดกรอบเวลาในการบังคับใช้
“การทำให้อเมริกาปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด เราจะไม่ยอมให้คนที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าปลอดภัยจริงหรือไม่เดินทางเข้าประเทศ” ทรัมป์ทวีตข้อความหลังจากที่ได้ประกาศคำสั่งล่าสุด
สำหรับพลเมืองอิรักนั้นไม่ได้อยู่ในข่ายถูกแบนก็จริง แต่สหรัฐฯ จะมีมาตรการคัดกรองที่เข้มงวดเป็นพิเศษ
เจ้าหน้าที่รัฐบาลคนหนึ่งซึ่งรับหน้าที่ชี้แจงต่อสื่อมวลชนยอมรับว่า ชาวเกาหลีเหนือที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ มีจำนวนน้อยมากอยู่แล้ว
ล่าสุด องค์การนิรโทษกรรมสากล (เอไอ) ในสหรัฐฯ ได้แถลงประณามมาตรการล่าสุดของ ทรัมป์
“คำสั่งเดิมแม้จะรับไม่ได้อย่างยิ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมรับคำสั่งกีดกันเวอร์ชันใหม่ของรัฐบาลได้... การสั่งแบนพลเมืองทั้งประเทศซึ่งต้องการหลบหนีความรุนแรงอย่างที่สหรัฐฯ เองก็พยายามต่อต้าน เป็นสิ่งที่โหดร้ายและไร้จิตสำนึก และเราต้องไม่ยอมให้มันกลายเป็นเรื่องปกติ”
ด้านสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (The American Civil Liberties Union) แถลงว่า การเพิ่มเกาหลีเหนือและเวเนซุเอลาเข้าไป “ไม่สามารถกลบเกลื่อนความจริงที่ว่า คำสั่งนี้มุ่งเล่นงานชาวมุสลิมเป็นหลัก”
ทำเนียบขาวอ้างว่า ข้อจำกัดใหม่นี้เป็นบทลงโทษสำหรับประเทศที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองคนเข้าเมืองและการออกวีซ่าของสหรัฐฯ โดยทำเนียบขาวได้แจ้งเตือนไปยังรัฐบาลต่างชาติแล้วตั้งแต่เดือน ก.ค. เพื่อให้เวลาในการแก้ไขข้อบกพร่อง 50 วัน ซึ่งบางประเทศก็มีการเพิ่มความปลอดภัยของหนังสือเดินทาง หรือปรับปรุงการแจ้งรายงานกรณีหนังสือเดินทางหายและถูกขโมย ขณะที่บางประเทศไม่ได้ดำเนินการแก้ไข
ศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะเริ่มไต่สวนคำสั่งห้ามเดินทางของทรัมป์ ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ว่ามีความชอบธรรมตามกฎหมายสหรัฐฯ และเป็นการพุ่งเป้ากีดกันชาวมุสลิมหรือไม่
ทรัมป์ ขู่จะทำลายเกาหลีเหนือ “ให้สิ้นซาก” หากผู้นำ คิม จองอึน กล้าลงมือโจมตีอเมริกาและชาติพันธมิตร อีกทั้งยังขู่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารจัดการกับรัฐบาลเวเนซุเอลด้วย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันว่าคำสั่งห้ามเดินทางเป็นผลมาจากกระบวนการทบทวนตามวัตถุประสงค์จำเพาะ (objective review) เท่านั้น
ในกรณีของเกาหลีเหนือ คำสั่งแบนจะบังคับใช้ทั้งกับผู้อพยพและบุคคลทั่วไป ซึ่งเจ้าหน้าที่อธิบายว่าเป็นการยากสำหรับสหรัฐฯ ที่จะระบุตัวตน หรือพิสูจน์ว่าผู้ที่เดินทางมาจากเกาหลีเหนือนั้นเป็นภัยคุกคามหรือไม่
“ว่ากันตรงๆ เกาหลีเหนือไม่เคยยอมร่วมมือกับเราเลย ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งกล่าว
สำหรับเวเนซุเอลานั้น คำสั่งแบนจะมุ่งเล่นงานเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ซึ่งสหรัฐฯ กล่าวโทษว่าเป็นตัวการทำลายเศรษฐกิจเวเนซุเอลา รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติโบลิวาเรียนและสมาชิกในครอบครัวด้วย
ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวเมื่อวานนี้ (24) โดยยืนยันว่าคำสั่งแบนฉบับล่าสุดนั้น “หนักหน่วง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
แทนที่จะห้ามพลเมืองของประเทศนั้นๆ เดินทางเข้าสหรัฐฯ ทุกกรณี คำสั่งใหม่ของทรัมป์จะกำหนดเงื่อนไขของแต่ละประเทศแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการให้ความร่วมมือต่อหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ระดับภัยคุกคามที่สหรัฐฯ เล็งเห็น และตัวแปรอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นกรณีชาวโซมาเลียซึ่งถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ ในฐานะผู้อพยพ แต่บุคคลทั่วไปที่เดินทางมาทำธุระชั่วคราวยังสามารถเข้าได้ เพียงแต่จะถูกคัดกรองเป็นพิเศษ