เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์ - “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกสื่อนอกชี้เป็นต้นแบบของ ปธน.ฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต เดินตามอย่างละเมิดสิทธิมนุษยชนในการทำสงครามยาเสพติดที่ทำให้ไม่ต่ำกว่า 13,000 คน ต้องจบชีวิต อนุญาตให้ตำรวจวิสามัญฯ ได้หากขัดขืน ขณะที่น้องสาว “ยิ่งลักษณ์” ถูกสื่อนอกตามเกาะติดข่าวตำรวจไทยไล่ตามรอยรถปิกอัพตราโล่ตำรวจพาหลบหนี
หนังสือพิมพ์เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์ สื่อจีน รายงานเมื่อวานนี้ (2 ก.ย.) ว่า สงครามยาเสพติด และการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในฟิลิปปินส์ปัจจุบันนี้ เชื่อว่ามีต้นกำเนิดมาจากอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่ในการหลบหนี และล่าสุดน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ทำการหลบหนีเช่นกัน โดยไม่มาปรากฎตัวต่อศาลในวันตัดสิน จนเป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลก
โดยสื่อจีนได้ทำการเปรียบเทียบความคล้ายคลึงระหว่างทักษิณ และประธานาธิบดีฟิลิปินส์คนปัจจุบัน โรดริโก ดูเตอร์เต ซึ่งทางเซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์ได้กล่าวว่า “ดูเดตอร์เต” เป็นทักษิณ ชินวัตร 2.0” ทั้งนี้พบว่าทั้งสองมีประวัติที่คล้ายคลึงกัน
ดูเตอร์เตที่มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักว่า “ดีกง” เคยดำรงตำแหน่งอดีตนายกเทศมนตรีเมืองดาเวามาก่อนนานถึง 22 ปี และในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง พบว่าเขาใช้นโยบายที่รุนแรงปราบปรามยาเสพติดจนทำให้เมืองแห่งนี้มีสถิติอาชญากรรมต่ำที่สุดในประเทศ
โดยมีหลักฐานชี้ถึงความรุนแรงในวิธีการที่ใช้ เมื่อพบว่าในช่วงเดือนธันวาคม 2016 อดีตผู้นำฟิลิปปินส์ยอมรับสารภาพว่า เขาเคยฆ่าผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมมาแล้วในระหว่างที่กำลังดำรงตำแหน่งอยู่ในเมืองดาเวา”แต่อ้างว่าเป็นการทำไปเพื่อให้เป็นตัวอย่างกับตำรวจเมืองดาเวาเห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถวิสามัญคนร้ายได้ไม่ผิด
ในขณะทักษิณ ชินวัตร ไต่เต้าจากการรับราชการตำรวจก่อนที่จะผันตัวไปเป็นนักธุรกิจด้านโทรคมนาคมก่อนที่จะประสบความสำเร็จจนสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยที่สามารถครองใจประชาชนไทยระดับรากหญ้าได้อย่างล้นหลาม เคยประกาศตรงไปตรงมาอนุญาตให้ตำรวจสามารถวิสามัญคนร้ายคดียาเสพติด รวมไปถึงมีการตั้งเป้าจับให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งเคยมีคดีตำรวจใช้อาวุธปืนในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีเด็กอยู่ด้วยในขณะนั้น
ทั้งนี้เป็นที่รู้กันดีว่า ดูเตอร์เตเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า มีวาจาจัดจ้าน และถึงกับเคยปรามาสอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ด้วยการกล่าวว่าว่า “เป็นไอ้หลูกกะ++” มาแล้ว ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร มีวาทะที่อื้ออึงเช่นกัน ที่เคยประกาศว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” คนทั้งคู่มีความคิดที่ตรงกันในการใช้กำลังตำรวจในสงครามยาเสพติดภายในประเทศ ก่อให้เกิดการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ตามมา
โดยสื่อจีนชี้ว่า เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทั้งทักษิณ และดูเตอร์เตปรากฏตัวต่อหน้าสื่อล่าสุด
ดูเตอร์เตยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเมื่อ 2 วันมานี้ว่า นโยบายสงครามยาเสพติดของเขาไม่ได้ผล แต่อย่างไรก็ตามจะเดินหน้าปราบปรามต่อไป ส่วนทักษิณ ออกมาสู่สาธารณะอีกครั้งหลังการหลบหนีของน้องสาว
โดยอ้างอิงจากบีบีซี สื่ออังกฤษ พบว่า อดีตนายกฯของไทยในวันที่ 30 ส.ค ได้ปรากฏผ่านทางทวิตเตอร์ ด้วยการหยิบยกข้อความของนักปรัชญาการเมืองฝรั่งเศส มงแต็สกีเยอ ศตวรรษที่ 18 ถึงทรราชในคราบผู้บงการกฎหมาย ทักษิณกล่าวว่า “มงแต็สกีเยอ เคยกล่าว “ไม่มีความเลวร้ายใด ที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”
ทั้งนี้ เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์ชี้ว่า ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีไทยเพียงคนเดียวที่มาจากการเลือกตั้งที่สามารถอยู่จนครบเทอมสำเร็จ และได้รับเลือกกลับเข้ามาได้เป็นครั้งที่ 2 จากฐานเสียงที่สนับสนุนเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยทางเหนือและทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และสื่อจีนยังโยงไปถึง ยิ่งลักษณ์ น้องสาว โดยชี้ว่าทักษิณเชื่อว่าข้อกล่าวหาเรื่องคดีรับจำนำข้าวจนนำมาสู่การหลบหนีของน้องสาวนั้นมีที่มากองทัพที่ทำรัฐประหารเขาในปี 2006 อยู่เบื้องหลัง
ดูเตอร์เตนั้นประกาศเอาใจออกห่างสหรัฐฯ และหันไปหาจีน ล่าสุดต้องถูกประชาชนในประเทศเดินขบวนครั้งใหญ่ในปัญหาฆ่าตัดตอนสงครามยาเสพติด หลังจากหน่วยต่อต้านยาเสพติดได้ลากเด็กนักเรียนม.ปลายวัย 17 ปี เข้าไปจ่อยิงภายในตรอกแห่งหนึ่ง โดยอ้างว่าผู้ต้องสงสัยขัดขืนและมีปืน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ส.ค ทั้งนี้พบว่าโครงการต่อต้านยาเสพติดของดูเตอร์เตเริ่มตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา
สอดคล้องกับสงครามยาเสพติดของทักษิณ ทางสื่อจีนชี้ว่า ได้เริ่มต้นโครงการหลังจากที่ทักษิณ(ฤได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยแล้ว โดยในขณะนั้น ผู้นำไทยต้องการปราบปรามขบวนการผลิตยาบ้า ที่มีการระบาดอย่างหนัก
เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์รายงานต่อว่า ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปินส์ ดูเตอร์เตประกาศให้สัญญาว่า จะต้องมีผู้เสียชีวิตไม่ตำกว่า 100,000 คนในโครงการสงครามยาเสพติดของเขาอย่างแน่นอน เหมือนกันกับที่ในปี 2003 ทักษิณประกาศนโยบาย “จะกวาดล้างทุกตารางนิ้วของประเทศ” ในโครงการสงครามยาเสพติดให้ได้ภายใน 3 เดือน รวมไปถึงการตั้งเป้าตัวเลขจับกุม และการตั้ง “แบล็กลิสต์” ให้รางวัลเจ้าหน้าที่ในการสร้างผลงาน และขู่ที่จะลงโทษผู้ที่ล้มเหลว คล้ายกับที่เกิดขึ้นกับฟิลิปปินส์ในเวลานี้ ที่นอกจากเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่สามารถวิสามัญคนร้ายได้แล้ว ดูเตอร์เตยังประกาศว่า พลเมืองดีสามารถจับอาวุธสังหารคนร้ายยาเสพติดได้อีกด้วย
สงครามยาเสพติดของทั้งในสมัยผู้นำไทยและผู้นำฟิลิปปินส์สร้างเสียงประณามจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนไปทั่วโลก เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์ชี้
โดยในสมัยทักษิณ กลุ่มฮิวแมนไรต์วอตช์รายงานว่า ภายในแค่ 3 เดือนของการประกาศสงครามยาเสพติด ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 2,275 คน ส่วนของดูเตอร์เต อัลญะซีเราะห์ รายงานเมื่อวันที่ 17 ส.ค ล่าสุดว่า ยอดเสียชีวิตในสงครามต่อต้านยาเสพติดนั้นมีไม่ต่ำกว่า 13,000 คน ซึ่งดูเตอร์เตออกมายอมรับในเดือนที่ผ่านมาว่า อาจมีคนแอบอ้างนำนโยบายสงครามต้านยาเสพติดของเขาไปใช้ในทางที่ผิด
แต่ทักษิณแก้ปัญหาเสียงตำหนิจากประชาคมโลกด้วยการเชิญทูตพิเศษจากองค์การสหประชาชาติเดินทางมาเพื่อตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย แต่สื่อจีนชี้ว่า ในขณะเดียวกัน ในการให้สัมภาษณ์ทางสาธารณะ ทักษิณกลับประกาศว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อของผม ผมไม่กังวลต่อการมาของยูเอ็นถึงปัญหานี้แม้แต่น้อย”
สำหรับฟิลิปปินส์ พบว่าดูเตอร์เตถูกองค์การสหประชาชาติส่งตัวแทนพิเศษเข้ามาเยือนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เกิดขึ้นในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งในขณะนั้นผู้แทนพิเศษองค์การสหประชาชาติด้านกิจการสังหารแบบวิสามัญฆาตกรรมได้ออกมาประณามฟิลิปปินส์ เกิดในขึ้นในระหว่างกล่าวในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงมะนิลา อ้างอิงจากสื่อไทม์ส์เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา
โดยในขณะนั้นตัวแทนจากองค์การสหประชาชาติ แอกเนส คอลลามาร์ด (Agnes Callamard) ออกมายืนยันว่า “การทำสงครามยาเสพติดไม่ได้ผล” และชี้ว่า เจ้าหน้าที่จำนวนมากทั้งฝ่ายการเมือง รวมไปถึงข้าราชการประจำ หรือแม้แต่ตำรวจ ต่างออกมาชี้ว่า “มีทางออกอย่างอื่น มีทางเลือกอื่น ที่ดีกว่า ในการจัดการปัญหายาเสพติด”
และในการตอบโต้กับยูเอ็น รัฐบาลของดูเตอร์เตประกาศที่จะประท้วงต่อการตัดสินใจเยือนฟิลิปปินส์อย่างกระทันหันของตัวแทนองค์การสหประชาชาติ
ในขณะที่สเตรทไทม์ส์ สื่อสิงคโปร์ได้รายงานในวันเดียวกัน (2 ส.ค.) ถึงความเคลื่อนไหวการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อการหายไปของยิ่งลักษณ์ โดยสื่อสิงคโปร์ชี้ว่า ในขณะที่โลกโซเชียลมีเดียของไทยพยายามแกะรอยความเคลื่อนไหวของยิ่งลักษณ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยกำลังตามหารถตำรวจตราโล่ที่ปรากฎหน้าบ้านยิ่งลักษณ์ ที่เชื่อว่าช่วยให้น้องสาวทักษิณทำการหลบหนี
โดยในการแถลงข่าวของโฆษก สนง.ตร.แห่งชาติ ในวันศุกร์(1 ก.ย) ได้ออกมาชี้ว่า ในเวลานี้ทางตำรวจกำลังสอบสวนถึงรถปิกอัพตำรวจที่มีรายงานว่า ถูกพบขับออกมาจากยบ้านนส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในวันที่ 23 ส.ค หรือ 2 วันก่อนที่จะมีการตัดสินในวันศุกร์(25 ส.ค)
ในการสอบสวนพบว่า เป็นรถที่มาจากสน.ลาดพร้าวซึ่งเป็นพื้นที่ดูแลครอบคลุมเขตบ้านพักนายกรัฐมนตรีหญิงของไทย โดยในแถลงการณ์ชี้ว่า เป็นการลาดตระเวนตามปกติ แต่อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกคำสั่งให้ทำการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์รถปิกอัพคันดังกล่าว เพื่อตรวจหาร่องรอยดีเอ็นเอที่อาจหลงเหลืออยู่ด้านในที่อาจพบ นอกเหนือไปจากของเจ้าหน้าที่ และชี้ว่า ประเด็นการสอบสวนชี้ไปในแนวทางว่า รถปิกอัพตราโล่ต้องสงสัยคันดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของยิ่งลักษณ์ แต่สเตรทไทม์สชี้ว่า โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติปฎิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ในการแถลงทางตัวแทนโฆษกยืนยันว่า มีความก้าวหน้าแต่ขอเวลาให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ล่าสุดสื่อของไทยรายงานถึงภาพวงจรปิดว่า พบว่าช่วงวันที่ 23 - 24 สิงหาคม มีรถขับเข้าออกละแวกบ้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตลอดเวลา และมีรถขับเข้าออกละแวกบ้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยบางคันขับผ่านจุดที่กล้องสามารถบันทึกภาพได้เพียง 3-5นาที และได้ขับวนออกจากพื้นที่
เป็นต้นว่า รถเบนซ์สีดำคันนี้ ขับเข้าไปบริเวณบ้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ เวลา 17.40 น.ของวันที่ 23 สิงหาคม จากนั้น 17.43 นาที ขับกลับออกมาในเส้นทางเดิม หรือรถโตโยต้า แคมรี่ สีขาว ที่ขับเข้าไปเวลา 22.14 น. จากนั้นขับกลับออกมา เวลา 22.16 น.
โดยในรายงานของสื่อไทย*** ความสนใจพุ่งเป้าไปที่รถคันหนึ่งที่ขับเข้ามาที่บ้านยิ่งลักษณ์ในวันที่ 24 ส.ค. เวลา 09.30 น. โดยพบว่า รถคันนี้น่าจะเป็นของเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี***
สื่อสิงคโปร์รายงานว่า ทั้งนี้ตำรวจไทยต้องหันมาสอบสวนรถตำรวจต้องสงสัยคันดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่สำนักข่าวอิศรา สื่อของไทยได้เผยแพร่ภาพวิดีโอคลิปแสดงหลักฐานว่า รถปิกอัพตำรวจวิ่งออกจากบ้านยิ่งลักษณ์ในวันพุธ (23 ส.ค.) จริง
และพบว่าสำนักงานสอบสวนกลางตำรวจยังออกคำสั่งให้ตรวจสอบ “เฟซบุ๊กของยิ่งลักษณ์” ในไม่กี่วันก่อนหลบหนีเพื่อดูว่านายกฯ หญิงได้โพสต์ข้อความอะไรบ้าง
ทั้งนี้ในรายงานของสเตรทไทม์ส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจไทยได้ออกมายืนยันว่า ได้รับการตอบกลับจากหน่วยตำรวจสากลในกัมพูชา สิงโปร์ และดูไบ แล้ว โดยชี้ว่าทางอินเตอร์โพลจากชาติเหล่านี้ตอบกลับมาว่า ไม่พบหลักฐานการเดินทางเข้าประเทศของอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
และในการแถลงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทางตำรวจตรวจคนเข้าเมืองยืนยันเช่นกันว่า ไม่พบว่ารายงานหลักฐานความก้าวหน้าที่จะระบุว่ายิ่งลักษณ์ได้แอบหลบหนีออกนอกประเทศผ่านทางชายแดน
สเตรทไทม์สชี้ว่า ผู้นำกองทัพไทยยอมรับว่า คดียิ่งลักษณ์ไม่มีความก้าวหน้า แต่ยืนยันว่า ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงตั้งความหวังว่าจะสามารถติดตามตัวอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์จนพบ ซึ่งสื่อสิงคโปร์ชี้ว่า นายกรัฐมนตรีไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวเชิงยอมรับว่า ไม่ได้รับรายงานความก้าวหน้าของคดีเช่นเดียวกัน