“ฮุสตัน” จมน้ำ พายุฮาร์วีย์ยังแรง คาดฝนหนักกว่าเก่าตกย้ำบริเวณเดิม

เอเจนซีส์ - เตือนพายุ “ฮาร์วีย์” ยังไม่สิ้นฤทธิ์ แต่ทำท่าวกกลับพาฝนไปตกในบริเวณเดิมและหนักกว่าเดิมในช่วงกลางสัปดาห์นี้ หลังจากทำให้ฮุสตัน เมืองใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐฯ จมน้ำ สนามบินและทางหลวงไม่สามารถใช้การได้ ปฏิบัติการกู้ภัยต้องอาศัยเรือเป็นหลัก

สนามบินหลักทั้งสองแห่งของฮุสตันงดให้บริการในวันจันทร์ (28 ส.ค.) เช่นเดียวกับโรงพยาบาลสองแห่งที่ต้องอพยพผู้ป่วยไปรักษาตัวที่อื่น สถานีทีวีท้องถิ่นแห่งหนึ่งต้องระงับการออกอากาศ

ขณะที่บริษัทไฟฟ้า เซ็นเตอร์พอยต์ อิเนอร์จี้ และเออีพี เทกซัสเผยว่า ช่วงเช้าวันจันทร์ ลูกค้ากว่า 224,000 คนในฮุสตันยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้

ฮาร์วีย์ ถือเป็นพายุที่พัดเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งมีกำลังรุนแรงที่สุดนับจากปี 2005 ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 รายในฮุสตัน การปฏิบัติการช่วยเหลือและการกู้ภัยต้องกระทำกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ บางส่วนเป็นอาสาสมัครที่นำเรือมาเอง

ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุในวันจันทร์ว่า ขนาดและปริมาณฝนจากพายุฮาร์วีย์รุนแรงอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน โดยในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนวันจันทร์ ปริมาณน้ำฝนที่ตกในฮุสตันและกัลเวสตันมีมากถึง 60 เซนติเมตร และเสริมว่า ฮาร์วีย์ที่เข้าฝั่งที่เทกซัสเมื่อคืนวันศุกร์ (25) ด้วยสถานะเฮอริเคนระดับ 4 จะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวเม็กซิโกก่อนวกกลับเข้าเทกซัสอีกช่วงกลางสัปดาห์ พร้อมปริมานน้ำฝนที่มากกว่าเดิมคือ 38-63 เซนติเมตรจนถึงวันศุกร์ (1 ก.ย.) ในบริเวณชายฝั่งตอนบนของเทกซัสและตะวันตกเฉียงเหนือของหลุยเซียนา

ทางด้านสำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติแถลงเมื่อเช้าวันจันทร์ว่า ปริมาณหยาดน้ำฟ้าในบางพื้นที่ของเทกซัสอาจสูงถึง 127 เซนติเมตรในช่วงปลายสัปดาห์นี้ หรือเท่ากับปริมาณฝนเฉลี่ยตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังออกประกาศเตือนให้จับตาและเตือนภัยน้ำท่วมตั้งแต่บริเวณใกล้ซานแอนโตนิโอจนถึงนิวออร์ลีนส์ พื้นที่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่กว่า 13 ล้านคน

ทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (27) ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้ออกตัวว่า ไม่อยากไปขัดขวางปฏิบัติการฉุกเฉิน มีกำหนดเยือนพื้นที่ประสบภัยเพื่อสำรวจความเสียหายแล้วในวันอังคาร (29) นี้

เมื่อวันศุกร์ ทรัมป์ที่เผชิญสถานการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติใหญ่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม ได้ลงนามประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ ซึ่งจะทำให้สามารถอนุมัติงบประมาณความช่วยเหลือในการบรรเทาทุกข์

ด้าน เกร็ก แอ็บบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเทกซัส เผยเมื่อวันอาทิตย์ (27) ว่า เทศมณฑล 54 แห่งถูกประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติแล้ว และทางรัฐมีแผนขอกำลังจากกองทหารรักษาดินแดนไปช่วยรับมือน้ำท่วมเพิ่มอีก 1,000 ตย

อิทธิพลของพายุฮาร์วีย์ทำให้ถนนทั่วฮุสตันกลายเป็นคลองชั่วคราว บางช่วงบางตอนมีน้ำสูงถึงระดับอก สร้างความยากลำบากยิ่งขึ้นในการอพยพประชาชนไปยังสถานที่ปลอดภัย

หน่วยงานบริการเหตุฉุกเฉิน ซึ่งได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือไม่ขาดสาย ออกมาเตือนประชาชนให้อพยพขึ้นไปอยู่ในที่สูงหรือบนหลังคา ไม่ใช่แค่ห้องใต้หลังคา เพื่อให้เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยสังเกตเห็นได้ง่าย ล่าสุด มีประชาชนได้รับการช่วยเหลือแล้วกว่า 2,000 คน

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เทศมณฑลฟอร์ตเบนด์ ที่อยู่ห่างจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮุสตันราว 55 กิโลเมตร สั่งให้ประชาชนกว่า 50,000 คนอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากคาดว่าน้ำในแม่น้ำบราซอสจะขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 18 เมตรในสัปดาห์นี้ หรือสูงกว่าระดับน้ำท่วมปกติ 4 เมตร และเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างน้อยในรอบ 800 ปี

สมาชิกกองทหารรักษาดินแดนหลายพันคนถูกส่งไปช่วยเหลือประชาชนร่วมกับตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยงานเหตุฉุกเฉิน ขณะที่สำนักงานบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลกลาง (FEMA) เตือนว่า ภัยพิบัติครั้งนี้จะส่งผลกระทบระยะยาวและต้องใช้เวลาฟื้นฟูบูรณะนานเป็นปี

ส่วนสถาบันข้อมูลประกันภัยระบุว่า ความเสียหายจากน้ำท่วมและเฮอริเคนฮาร์วีย์ในเทกซัสอาจจะรุนแรงเทียบเท่าความเสียหายที่เกิดจากพายุแคทรินาเมื่อปี 2005 ซึ่งถือเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่มีมูลค่าความเสียหายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน ถึงแม้ ฮันโนเวอร์รี บริษัทรับประกันภัยต่อรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ยังคงเชื่อว่าความเสียหายคราวนี้จะต่ำกว่าคราวพายุแคทรินา

นอกจากนี้ เนื่องจากบริเวณชายฝั่งของรัฐเทกซัสเป็นที่ตั้งโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่และท่าเรือสำคัญหลายแห่ง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า ขณะนี้มีการระงับการผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกประมาณ 22% หรือกว่า 375,000 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้มีความกังวลกันว่า ซัปพลายน้ำมันเบนซินทั่วภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาอาจได้รับผลกระทบ และอาจจำกัดความพร้อมของน้ำมันดิบ เบนซิน และผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นอื่นๆ สำหรับผู้บริโภคทั่วโลก อันจะส่งผลให้ราคาพลังงานถีบตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม แอ็บบอตต์ผู้ว่าการรัฐเทกซัส ยืนยันว่า อุตสาหกรรมพลังงานเตรียมพร้อมรับมือเป็นอย่างดี