เอเอฟพี - ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ขู่จะใช้กำลังทหารตอบโต้วิกฤตการเมืองในเวเนซุเอลา หลังการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาลสังคมนิยมของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ทวีความรุนแรงจนกลายเป็น “เหตุวุ่นวายที่อันตรายอย่างยิ่ง”
สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตร มาดูโร และพันธมิตรหลายราย พร้อมตราหน้าผู้นำเวเนฯ ว่าเป็น “เผด็จการ” ที่พยายามใช้ความรุนแรงบดขยี้ฝ่ายค้าน ขณะที่รัฐบาล มาดูโร ก็โต้กลับด้วยการด่าอเมริกาว่าทำตัวเป็น “นักล่าอาณานิคมก้าวร้าว”
อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงวานนี้ (11 ส.ค.) ถือเป็นครั้งแรกที่ ทรัมป์ เอ่ยถึงปฏิบัติการแทรกแซงทางทหาร
“เรามีทางเลือกหลายอย่างสำหรับเวเนซุเอลา รวมถึงการใช้กำลังทหารถ้าจำเป็น” ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่รัฐนิวเจอร์ซีย์
“เรามีทหารประจำการอยู่ทั่วโลกแม้ในที่ไกลแสนไกล... เวเนซุเอลาอยู่ใกล้แค่นี้ และประชาชนที่นั่นก็กำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานและความตาย”
ทรัมป์ ระบุว่า ความขัดแย้งในเวเนซุเอลาเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ตนได้หารือกับ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศ และ นิกกี เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ
“เวเนซุเอลากำลังยุ่งเหยิง มันเป็นเหตุวุ่นวายที่อันตรายอย่างยิ่ง และเป็นสถานการณ์ที่น่าเศร้าเสียใจ” ทรัมป์ กล่าว
ทั้งนี้ หาก ทรัมป์ มีแผนแทรกแซงทางทหารอยู่ในใจก็คงจะเป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ล่าสุด อีริค เพฮอน โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำแถลงของประธานาธิบดี โดยระบุว่า “ณ เวลานี้ เพนตากอนยังไม่ได้รับคำสั่ง”
ด้านกองบัญชาการฝ่ายใต้ (Southern Command) ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการทางทหารในละตินอเมริกา ระบุว่า “กองทัพมีการวางแผนรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันหลากหลายรูปแบบอยู่แล้ว หากได้รับคำสั่ง เราก็พร้อมที่จะสนับสนุนความพยายามของรัฐบาลที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติและสวัสดิภาพของพลเมืองสหรัฐฯ แต่ขณะนี้กองบัญชาการฝ่ายใต้ยังไม่ได้รับคำสั่งใดๆ”
ล่าสุด พล.อ.วลาดิมีร์ ปาดริโน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเวเนซุเอลา ออกมาประณามคำขู่ของ ทรัมป์ ว่าเป็น “ความบ้าคลั่ง”
“นี่มันบ้าชัดๆ เป็นพฤติกรรมของพวกหัวรุนแรงสุดโต่ง”
คำขู่ของ ทรัมป์ มีขึ้นเพียง 2 วัน หลังจากสหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่ต่อเวเนซุเอลา โดยพุ่งเป้าเล่นงานสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ มาดูโร ตั้งขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
รัฐบาลเวเนซุเอลาตอบโต้บทลงโทษด้วยการเยาะเย้ยสหรัฐฯ ว่า “ทำตัวโง่เง่าในสายตาชาวโลก”
มาดูโร ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (10) ว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรสูงสุดที่มีอำนาจเหนือหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง แม้แต่ตัวประธานาธิบดีเอง และตนเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยสภาแห่งนี้จะนำ “สันติภาพ” กลับคืนสู่เวเนซุเอลา
สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศละตินอเมริกามองว่า มาดูโร กำลังใช้องค์กรแห่งนี้เป็นเครื่องมือกดขี่ผู้ต่อต้าน และลิดรอนอำนาจของสภานิติบัญญัติที่ฝ่ายค้านครองเสียงข้างมาก
เหตุจลาจลทางการเมืองในเวเนซุเอลาที่ยืดเยื้อมานานถึง 4 เดือนเต็ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 130 คนจากการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคง
