Israel tackles Trump’s Syrian blues
By M.K. Bhadrakumar
03/07/2017
สื่อมวลชนอเมริกันที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลชาวยิว กำลังโหมโจมตีรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ขณะเดียวกันกลุ่มล็อบบี้ยิวก็ช่วยอวยช่วยดัน นิกกี้ เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ ให้ขึ้นมาแทนที่ การที่อิสราเอลเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ เหตุผลสำคัญเนื่องมาจากการสู้รบขัดแย้งในซีเรียกำลังอยู่ในช่วงใกล้ที่จะ “ปิดเกม”
พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลทั้งหลายนั้น สามารถที่จะจำแนกอย่างกว้างๆ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ พวกซึ่งระริกระรี้โถมเข้าหาความสกปรกโสมมในแวดวงราชการเหมือนกับปลาได้น้ำ และพวกที่เหลือคือผู้ที่ประคองตัวให้อยู่รอดในท่ามกลางเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายเหล่านี้ มันเป็นทั้งเรื่องของดีเอ็นเอและทักษะความชำนาญที่สะสมมา
แต่นอกจากนี้แล้วยังมีอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีจำนวนเล็กนิดเดียว นั่นคือ พวกที่ล้มเหลวหรือไม่ก็ปฏิเสธไม่ยอมที่จะปรองดองรอมชอมกับชะตากรรมของตนเอง ปรากฏว่า เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯคนปัจจุบัน เป็นคนหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในประเภทหลังสุดนี้ด้วย ดังนั้น อย่าได้เซอร์ไพรซ์ประหลาดใจเลยถ้าหากเขาขอปลดเกษียณด้วยความสมัครใจออกมาจากชนชั้นนำวอชิงตัน และมุ่งหน้าสู่ภาคใต้สุดของสหรัฐฯ กลับคืนไปหารากเหง้าของตัวเขาเอง ไปอยู่กับวงศ์ตระกูลของเขา กับครอบครัวของเขา (ทิลเลอร์สันกำลังถูก “สื่อมวลชนของพวกยิว” ในอเมริกาโจมตีอย่างดุเดือดเลวร้าย ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.politico.com/story/2017/06/28/tillerson-blows-up-at-white-house-aide-240075 และ http://www.politico.com/magazine/story/2017/06/29/how-rex-tillerson-destroying-state-department-215319)
แน่นอนทีเดียว เรื่องนี้ดำเนินไปในแบบที่มีการหักมุมในทางนโยบายอยู่ด้วย โดยที่ดาวดวงเด่นซึ่งกำลังผงาดขึ้นมาเป็นตัวเอก ได้แก่ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ นิกกี้ เฮลีย์ (Nikki Haley) ผู้อยู่ในความอุปถัมภ์อุ้มชูของกลุ่มล็อบบี้ชาวยิว เธอไม่ได้มีภูมิหลังทางการทูตใดๆ เลย และดูเหมือนเป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาระดับปานกลางทั่วไป ทว่ามือที่มองไม่เห็น (ของชาวยิว) กำลังวางอุบายเล่ห์กลเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพให้แก่เธอ เวลานี้ เฮลีย์เป็น 1 ในผู้ได้รับเชิญอย่างถาวรให้เข้าร่วมการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีสหรัฐฯไปเรียบร้อยแล้ว (หมายเหตุผู้แปล – นิกกี้ เฮลีย์ เป็นคนอเมริกันเชื้อสายอินเดีย บิดามารดาของเธอเป็นชาวซิกข์อินเดียซึ่งอพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ เธอไต่เต้าขึ้นมาจากการเล่นการเมืองในท้องถิ่นในสังกัดพรรครีพับลิกัน จนขึ้นเป็นผู้ว่าการมลรัฐเซาท์แคโรไลนาระหว่างปี 2011 - 2017 เธอไม่เคยทำงานอาชีพทางการทูตใดๆ มาก่อนเลย จนกระทั่งทรัมป์แต่งตั้งให้เธอรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ - ข้อมูลจาก Wikipedia)
หรือว่ากลุ่มล็อบบี้อิสราเอลกำลังสปอนเซอร์ให้เฮลีย์ขึ้นมาแทนที่ทิลเลอร์สัน? (ดูข้อเขียนที่เหมือนเป็นการหยั่งความคิดเห็นของสาธารณชน โดยนิตยสาร “เนชั่นแนล รีวิว” National Review ซึ่งแสดงตัวชัดเจนว่าเป็นพวกสนับสนุนทรัมป์ ได้ที่ http://www.nationalreview.com/article/449141/nikki-haley-our-de-facto-secretary-state) อิสราเอลทำตัวราวกับกำลังแก้แค้นอย่างแสบสันต์ต่อคณะบริหารโอบามา ด้วยการทำให้สหรัฐฯกลายเป็นชาติหุ้นส่วนที่อ่อนอาวุโสกว่าของตนเองไปเลย หรือเราจะบอกว่าอิสราเอลเพียงแค่กำลังเข้าเป็นผู้บังคับควบคุมเรือที่กำลังจมดิ่งล่ะนี่? จริงๆ แล้ว มันยังสามารถที่จะเป็นการผสมผสานกันของทั้งสองอย่างนี้ก็ได้ สิ่งที่ทำให้ฝ่ายอิสราเอลต้องเร่งรีบเข้า “เทคโอเวอร์” อย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คือการปิดเกมในซีเรีย ซึ่งอิสราเอลเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ที่มีคลื่นรบกวนอันชวนหวั่นไหวให้คำนึงถึงความอยู่รอดต่อไปของตนเองทีเดียว
อิสราเอลนั้นเป็นผู้ซึ่งพยายามเคลื่อนไหวผลักดันอย่างเต็มที่รายหนึ่ง ในโครงการของสหรัฐฯที่จะโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ในซีเรีย ทั้งนี้จุดมุ่งหมายแรงจูงใจของอิสราเอลมีดังนี้:
**ทำให้ปรปักษ์ทางทหารที่ยังเหลืออยู่เพียงรายเดียวในโลกอาหรับของตนรายนี้บังเกิดความอ่อนแอมากยิ่งขึ้น และจัดการทำลายให้ดับสิ้นไป
**ทำให้ซีเรียถูกแบ่งแยกออกเป็นเขตเล็กเขตน้อยตามประชากรที่ต่างเชื้อชาติต่างนิกายศาสนา (หรือที่เรียกกันว่ากระบวนการ Balkanisation) เพื่อเร่งรัดการก่อตั้งรัฐเคอร์ดิสถานที่ร่ำรวยน้ำมันของชาวเคิร์ดขึ้นมา ซึ่งจะกลายเป็นเขตที่มั่นแห่งอิทธิพลอิสราเอลที่แทรกตัวอยู่ตรงพรมแดนระหว่างอิหร่านกับตุรกี
**กำราบปราบปรามกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah กลุ่มติดอาวุธต่อต้านอิสราเอลของชาวชีอะห์ ในเลบานอน -ผู้แปล) และกระชับฐานะครอบงำของอิสราเอลที่มีอยู่เหนือเลบานอน (และเขตฉนวนกาซา)
**ทำให้การที่อิสราเอลเข้ายึดครองที่ราบสูงโกลาน (Golan Heights) ของซีเรีย กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย และ
**ผนวกดินแดนของซีเรียที่อยู่ข้างๆ ที่ราบสูงโกลัน
ทันทีที่การสู้รบขัดแย้งในซีเรียเกิดการแปรเปลี่ยนกลาย,kเป็นสงครามตัวแทนเพื่อต่อสู้กับอิหร่านและเฮซบอลเลาะห์ อิสราเอลก็กระทำอย่างเดียวกันเป๊ะกับพวกชาติพันธมิตรอื่นๆ ของสหรัฐฯ (ตุรกี, ซาอุดีอาระเบีย, และกาตาร์) ซึ่งก็คือ การอุปถัมภ์เป็นสปอนเซอร์ให้แก่พวกกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในเครืออัลกออิดะห์ และให้แก่กลุ่มไอซิส (ISIS อีกชื่อย่อหนึ่งของกลุ่ม “รัฐอิสลาม” หรือ ไอเอส) โดยถือว่าพวกเหล่านี้เป็น “ทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์” โปรเจ็คต์นี้เดินหน้าไปได้ดีทีเดียว จนกระทั่งรัสเซียเข้ามาแทรกแซงทางทหารในซีเรียเมื่อเดือนกันยายน 2015 เรื่องราวต่อจากนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
แกนพันธมิตรรัสเซีย-อิหร่าน-ซีเรีย-อิรัก-เฮซบอลเลาะห์ ได้ทำให้กระแสแห่งสงครามคราวนี้ไหลทวนหวนกลับเป็นตรงกันข้าม และอิสราเอลทุกวันนี้เฝ้ามองอย่างรู้สึกพ่ายแพ้ในพื้นที่สงครามในภาคใต้ของซีเรีย (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.moonofalabama.org/2017/06/us-retreats-from-al-tanf-gives-up-idea-of-occupying-south-east-syria.html และ http://en.farsnews.com/print.aspx?nn=13960411000476) โฟกัสของอิสราเอลในตอนนี้จึงต้องกลับมายอมรับเงื่อนไขความเป็นจริงอันโหดร้ายที่ว่าอัสซาดยังจะอยู่แถวๆ นี้ไปอีกอย่างน้อยระยะหนึ่งทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนบีที่อิสราเอลจัดวางขึ้นมาแทนที่จึงมุ่งทำให้กองกำลังอาวุธต่างๆ ของรัฐบาลซีเรีย (ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากทั้งกองกำลังอาวุธท้องถิ่นที่หนุนหลังโดยอิหร่าน และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์) ไม่สามารถยึดคืนดินแดนต่างๆ ซึ่งควบคุมโดยประดากลุ่มที่พัวพันเกี่ยวข้องกับอัลกออิดะห์ในบริเวณภาคใต้ของซีเรียที่ประชิดติดกับที่ราบสูงโกลาน ทั้งนี้อิสราเอลคาดหวังว่าเพนตากอนจะเป็นผู้เข้าควบคุมพื้นที่ซึ่งเสนอกันให้จัดตั้งเป็น “เขตลดความตึงเครียด” (de-confliction zone) ในภาคใต้ของซีเรีย และขีดลาก “เส้นแดงอันตราย” ขึ้นมาเพื่อสร้างเป็นเขตกันชนที่โดยพฤตินัยแล้วคือการยอมรับให้อิสราเอลยังคงยึดครองที่ราบสูงโกลานต่อไปเรื่อยๆ โดยที่อิสราเอลวาดหวังว่าจะสามารถเข้าผนวกเขตกันชนนี้ให้กลายเป็นดินแดนของตนเสียเลยในท้ายที่สุด
เฮลีย์เข้ามาแสดงบทบาทสำคัญตรงนี้แหละ อิสราเอลมองเธอว่าเป็น “ลูกมือที่ใช้สอยให้ทำงานอันตราย” ซึ่งเชื่อถือได้มากที่สุดของตน ในบรรดาชนชั้นนำแห่งแวดวงนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯที่อยู่ใต้ทรัมป์ลงมา ในทางกลับกัน ตัวเธอเองก็มีความตระหนักสำนึกว่าถ้าเธอ “ทำได้ตามใบสั่ง” กลุ่มล็อบบี้ชาวยิวก็จะหนุนส่งอาชีพทางการเมืองของเธอให้พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน อิสราเอลเองก็จะสามารถได้ทีมทำงานระดับดรีมทีมขึ้นมา โดยมีเฮลีย์นั่งคุมกระทรวงการต่างประเทศ และ “รัสปูติน” ในทำเนียบขาวของทรัมป์ –ซึ่งก็คือ จาเรด คุชเนอร์ บุตรเขยผู้ทรงอิทธิพลของประธานาธิบดีผู้นี้ (เหตุที่เรียกเขาเป็นนักบวชรัสปูติน เนื่องจาก คุชเนอร์ เป็นยิวที่นับถือศาสนาเคร่งครัดแบบยิวออโธด็อกซ์ รวมทั้งเป็นนักการศาสนายิวด้วย)— คอยคุมหางเสือนโยบายต่างๆ เกี่ยวกับตะวันออกกลาง ไม่น่าประหลาดใจอะไรเลย สื่อมวลชนสหรัฐฯ ซึ่งตกอยู่ใต้อิทธิพลของพวกยิวอย่างหนัก กำลังสร้างเฮลีย์ให้กลายเป็นรัฐสตรีผู้มีวิสัยทัศน์
ดามัสกัสและเตหะราน (และมอสโก) จะยินยอมไปอีกยาวไกลแค่ไหน ในการปล่อยให้อิสราเอลพยายามทำให้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายนี้ของตนกลายเป็นความจริงขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่ยังต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป เนื่องจากว่าเมื่อวิเคราะห์กันอย่างถึงที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงใหม่ๆ ในภาคสนาม ทั้งนี้มีสัญญาณลางร้ายปรากฏให้เห็นหลายประการทีเดียวว่ากองทัพอิสราเอลกำลังเตรียมตัวที่จะกระโจนเข้าไปรุกรานซีเรีย
ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ (Hassan Nasrallah) ผู้นำของฮิซบอลเลาะห์ ได้เตือนเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนว่า
**อิสราเอลผู้เป็นศัตรูจักต้องรู้เอาไว้ว่า ถ้าพวกเขาเปิดฉากทำสงครามกับซีเรียหรือเลบานอนแล้ว มันก็ไม่มีทางทราบหรอกว่าการสู้รบยังจะคงอยู่เพียงแค่ระหว่างชาวเลบานอน-ชาวอิสราเอล หรือชาวซีเรีย-ชาวอิสราเอล นี่ไม่ได้หมายความหรอกว่าจะมีรัฐอะไรที่เข้าทำการแทรกแซงโดยตรง ทว่านี่อาจเปิดทางให้นักรบจำนวนเรือนพันเรือนหมื่น หรือกระทั่งเป็นแสนๆ คน จากตลอดทั่วทั้งโลกอาหรับและตลอดทั่วทั้งโลกอิสลามทีเดียว เข้ามาร่วมทำศึกด้วย
เครื่องบินสายลับรุ่นสำคัญที่สุดซึ่งมีอยู่ในคลังแสงของสหรัฐฯจำนวน 3 ลำ โดยเป็นเครื่องบิน อาร์ซี-135 จำนวน 2 ลำ และ พี-8 โพไซดอน ของกองทัพเรืออีก 1 ลำ ซึ่งมีความสามารถทั้งในการดักฟังและชี้แหล่งที่มาของสัญญาณวิทยุและสัญญาณเรดาร์ของข้าศึก กำลังถูกส่งออกมาสอดแนมนอกชายฝั่งซีเรียในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนต่อกับต้นเดือนกรกฎาคม ขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกัน ยูเอสเอส จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช (USS George H.W. Bush) ก็เดินทางไปยังเมืองไฮฟา ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม เพื่อการเยือนเป็นเวลา 4 วัน --ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีทีเดียวที่มีเรือบรรทุกเครื่อบินสหรัฐฯไปเยือนอิสราเอล
คำถามฉกาจฉกรรจ์จึงมีอยู่ว่า อิสราเอลจะทำได้สำเร็จในการฉวยคว้าเข้าครอบครองดินแดนผืนใหญ่ หรือว่ากลับจบลงด้วยการสร้างแนวรบฝ่ายต่อต้านอิสราเอลขึ้นมาอีกแนวรบหนึ่ง?
(เก็บความจากข้อเขียนในบล็อก Indian Punchline)
เอกอัครราชทูต เอ็ม เค ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเป็นเวลากว่า 29 ปี ในตำแหน่งต่างๆ เป็นต้นว่า เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอุซเบกิสถาน (ปี 1995-1998) และเอกอัครราชทูตอินเดียประจำตุรกี (ปี 1998-2001) ปัจจุบันเขาเขียนอยู่ในบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline) รวมทั้งเขียนให้เอเชียไทมส์เป็นประจำตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา
By M.K. Bhadrakumar
03/07/2017
สื่อมวลชนอเมริกันที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลชาวยิว กำลังโหมโจมตีรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ขณะเดียวกันกลุ่มล็อบบี้ยิวก็ช่วยอวยช่วยดัน นิกกี้ เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ ให้ขึ้นมาแทนที่ การที่อิสราเอลเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ เหตุผลสำคัญเนื่องมาจากการสู้รบขัดแย้งในซีเรียกำลังอยู่ในช่วงใกล้ที่จะ “ปิดเกม”
พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลทั้งหลายนั้น สามารถที่จะจำแนกอย่างกว้างๆ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ พวกซึ่งระริกระรี้โถมเข้าหาความสกปรกโสมมในแวดวงราชการเหมือนกับปลาได้น้ำ และพวกที่เหลือคือผู้ที่ประคองตัวให้อยู่รอดในท่ามกลางเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายเหล่านี้ มันเป็นทั้งเรื่องของดีเอ็นเอและทักษะความชำนาญที่สะสมมา
แต่นอกจากนี้แล้วยังมีอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีจำนวนเล็กนิดเดียว นั่นคือ พวกที่ล้มเหลวหรือไม่ก็ปฏิเสธไม่ยอมที่จะปรองดองรอมชอมกับชะตากรรมของตนเอง ปรากฏว่า เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯคนปัจจุบัน เป็นคนหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในประเภทหลังสุดนี้ด้วย ดังนั้น อย่าได้เซอร์ไพรซ์ประหลาดใจเลยถ้าหากเขาขอปลดเกษียณด้วยความสมัครใจออกมาจากชนชั้นนำวอชิงตัน และมุ่งหน้าสู่ภาคใต้สุดของสหรัฐฯ กลับคืนไปหารากเหง้าของตัวเขาเอง ไปอยู่กับวงศ์ตระกูลของเขา กับครอบครัวของเขา (ทิลเลอร์สันกำลังถูก “สื่อมวลชนของพวกยิว” ในอเมริกาโจมตีอย่างดุเดือดเลวร้าย ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.politico.com/story/2017/06/28/tillerson-blows-up-at-white-house-aide-240075 และ http://www.politico.com/magazine/story/2017/06/29/how-rex-tillerson-destroying-state-department-215319)
แน่นอนทีเดียว เรื่องนี้ดำเนินไปในแบบที่มีการหักมุมในทางนโยบายอยู่ด้วย โดยที่ดาวดวงเด่นซึ่งกำลังผงาดขึ้นมาเป็นตัวเอก ได้แก่ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ นิกกี้ เฮลีย์ (Nikki Haley) ผู้อยู่ในความอุปถัมภ์อุ้มชูของกลุ่มล็อบบี้ชาวยิว เธอไม่ได้มีภูมิหลังทางการทูตใดๆ เลย และดูเหมือนเป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาระดับปานกลางทั่วไป ทว่ามือที่มองไม่เห็น (ของชาวยิว) กำลังวางอุบายเล่ห์กลเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพให้แก่เธอ เวลานี้ เฮลีย์เป็น 1 ในผู้ได้รับเชิญอย่างถาวรให้เข้าร่วมการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีสหรัฐฯไปเรียบร้อยแล้ว (หมายเหตุผู้แปล – นิกกี้ เฮลีย์ เป็นคนอเมริกันเชื้อสายอินเดีย บิดามารดาของเธอเป็นชาวซิกข์อินเดียซึ่งอพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ เธอไต่เต้าขึ้นมาจากการเล่นการเมืองในท้องถิ่นในสังกัดพรรครีพับลิกัน จนขึ้นเป็นผู้ว่าการมลรัฐเซาท์แคโรไลนาระหว่างปี 2011 - 2017 เธอไม่เคยทำงานอาชีพทางการทูตใดๆ มาก่อนเลย จนกระทั่งทรัมป์แต่งตั้งให้เธอรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ - ข้อมูลจาก Wikipedia)
หรือว่ากลุ่มล็อบบี้อิสราเอลกำลังสปอนเซอร์ให้เฮลีย์ขึ้นมาแทนที่ทิลเลอร์สัน? (ดูข้อเขียนที่เหมือนเป็นการหยั่งความคิดเห็นของสาธารณชน โดยนิตยสาร “เนชั่นแนล รีวิว” National Review ซึ่งแสดงตัวชัดเจนว่าเป็นพวกสนับสนุนทรัมป์ ได้ที่ http://www.nationalreview.com/article/449141/nikki-haley-our-de-facto-secretary-state) อิสราเอลทำตัวราวกับกำลังแก้แค้นอย่างแสบสันต์ต่อคณะบริหารโอบามา ด้วยการทำให้สหรัฐฯกลายเป็นชาติหุ้นส่วนที่อ่อนอาวุโสกว่าของตนเองไปเลย หรือเราจะบอกว่าอิสราเอลเพียงแค่กำลังเข้าเป็นผู้บังคับควบคุมเรือที่กำลังจมดิ่งล่ะนี่? จริงๆ แล้ว มันยังสามารถที่จะเป็นการผสมผสานกันของทั้งสองอย่างนี้ก็ได้ สิ่งที่ทำให้ฝ่ายอิสราเอลต้องเร่งรีบเข้า “เทคโอเวอร์” อย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คือการปิดเกมในซีเรีย ซึ่งอิสราเอลเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ที่มีคลื่นรบกวนอันชวนหวั่นไหวให้คำนึงถึงความอยู่รอดต่อไปของตนเองทีเดียว
อิสราเอลนั้นเป็นผู้ซึ่งพยายามเคลื่อนไหวผลักดันอย่างเต็มที่รายหนึ่ง ในโครงการของสหรัฐฯที่จะโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ในซีเรีย ทั้งนี้จุดมุ่งหมายแรงจูงใจของอิสราเอลมีดังนี้:
**ทำให้ปรปักษ์ทางทหารที่ยังเหลืออยู่เพียงรายเดียวในโลกอาหรับของตนรายนี้บังเกิดความอ่อนแอมากยิ่งขึ้น และจัดการทำลายให้ดับสิ้นไป
**ทำให้ซีเรียถูกแบ่งแยกออกเป็นเขตเล็กเขตน้อยตามประชากรที่ต่างเชื้อชาติต่างนิกายศาสนา (หรือที่เรียกกันว่ากระบวนการ Balkanisation) เพื่อเร่งรัดการก่อตั้งรัฐเคอร์ดิสถานที่ร่ำรวยน้ำมันของชาวเคิร์ดขึ้นมา ซึ่งจะกลายเป็นเขตที่มั่นแห่งอิทธิพลอิสราเอลที่แทรกตัวอยู่ตรงพรมแดนระหว่างอิหร่านกับตุรกี
**กำราบปราบปรามกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah กลุ่มติดอาวุธต่อต้านอิสราเอลของชาวชีอะห์ ในเลบานอน -ผู้แปล) และกระชับฐานะครอบงำของอิสราเอลที่มีอยู่เหนือเลบานอน (และเขตฉนวนกาซา)
**ทำให้การที่อิสราเอลเข้ายึดครองที่ราบสูงโกลาน (Golan Heights) ของซีเรีย กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย และ
**ผนวกดินแดนของซีเรียที่อยู่ข้างๆ ที่ราบสูงโกลัน
ทันทีที่การสู้รบขัดแย้งในซีเรียเกิดการแปรเปลี่ยนกลาย,kเป็นสงครามตัวแทนเพื่อต่อสู้กับอิหร่านและเฮซบอลเลาะห์ อิสราเอลก็กระทำอย่างเดียวกันเป๊ะกับพวกชาติพันธมิตรอื่นๆ ของสหรัฐฯ (ตุรกี, ซาอุดีอาระเบีย, และกาตาร์) ซึ่งก็คือ การอุปถัมภ์เป็นสปอนเซอร์ให้แก่พวกกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในเครืออัลกออิดะห์ และให้แก่กลุ่มไอซิส (ISIS อีกชื่อย่อหนึ่งของกลุ่ม “รัฐอิสลาม” หรือ ไอเอส) โดยถือว่าพวกเหล่านี้เป็น “ทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์” โปรเจ็คต์นี้เดินหน้าไปได้ดีทีเดียว จนกระทั่งรัสเซียเข้ามาแทรกแซงทางทหารในซีเรียเมื่อเดือนกันยายน 2015 เรื่องราวต่อจากนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
แกนพันธมิตรรัสเซีย-อิหร่าน-ซีเรีย-อิรัก-เฮซบอลเลาะห์ ได้ทำให้กระแสแห่งสงครามคราวนี้ไหลทวนหวนกลับเป็นตรงกันข้าม และอิสราเอลทุกวันนี้เฝ้ามองอย่างรู้สึกพ่ายแพ้ในพื้นที่สงครามในภาคใต้ของซีเรีย (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.moonofalabama.org/2017/06/us-retreats-from-al-tanf-gives-up-idea-of-occupying-south-east-syria.html และ http://en.farsnews.com/print.aspx?nn=13960411000476) โฟกัสของอิสราเอลในตอนนี้จึงต้องกลับมายอมรับเงื่อนไขความเป็นจริงอันโหดร้ายที่ว่าอัสซาดยังจะอยู่แถวๆ นี้ไปอีกอย่างน้อยระยะหนึ่งทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนบีที่อิสราเอลจัดวางขึ้นมาแทนที่จึงมุ่งทำให้กองกำลังอาวุธต่างๆ ของรัฐบาลซีเรีย (ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากทั้งกองกำลังอาวุธท้องถิ่นที่หนุนหลังโดยอิหร่าน และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์) ไม่สามารถยึดคืนดินแดนต่างๆ ซึ่งควบคุมโดยประดากลุ่มที่พัวพันเกี่ยวข้องกับอัลกออิดะห์ในบริเวณภาคใต้ของซีเรียที่ประชิดติดกับที่ราบสูงโกลาน ทั้งนี้อิสราเอลคาดหวังว่าเพนตากอนจะเป็นผู้เข้าควบคุมพื้นที่ซึ่งเสนอกันให้จัดตั้งเป็น “เขตลดความตึงเครียด” (de-confliction zone) ในภาคใต้ของซีเรีย และขีดลาก “เส้นแดงอันตราย” ขึ้นมาเพื่อสร้างเป็นเขตกันชนที่โดยพฤตินัยแล้วคือการยอมรับให้อิสราเอลยังคงยึดครองที่ราบสูงโกลานต่อไปเรื่อยๆ โดยที่อิสราเอลวาดหวังว่าจะสามารถเข้าผนวกเขตกันชนนี้ให้กลายเป็นดินแดนของตนเสียเลยในท้ายที่สุด
เฮลีย์เข้ามาแสดงบทบาทสำคัญตรงนี้แหละ อิสราเอลมองเธอว่าเป็น “ลูกมือที่ใช้สอยให้ทำงานอันตราย” ซึ่งเชื่อถือได้มากที่สุดของตน ในบรรดาชนชั้นนำแห่งแวดวงนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯที่อยู่ใต้ทรัมป์ลงมา ในทางกลับกัน ตัวเธอเองก็มีความตระหนักสำนึกว่าถ้าเธอ “ทำได้ตามใบสั่ง” กลุ่มล็อบบี้ชาวยิวก็จะหนุนส่งอาชีพทางการเมืองของเธอให้พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน อิสราเอลเองก็จะสามารถได้ทีมทำงานระดับดรีมทีมขึ้นมา โดยมีเฮลีย์นั่งคุมกระทรวงการต่างประเทศ และ “รัสปูติน” ในทำเนียบขาวของทรัมป์ –ซึ่งก็คือ จาเรด คุชเนอร์ บุตรเขยผู้ทรงอิทธิพลของประธานาธิบดีผู้นี้ (เหตุที่เรียกเขาเป็นนักบวชรัสปูติน เนื่องจาก คุชเนอร์ เป็นยิวที่นับถือศาสนาเคร่งครัดแบบยิวออโธด็อกซ์ รวมทั้งเป็นนักการศาสนายิวด้วย)— คอยคุมหางเสือนโยบายต่างๆ เกี่ยวกับตะวันออกกลาง ไม่น่าประหลาดใจอะไรเลย สื่อมวลชนสหรัฐฯ ซึ่งตกอยู่ใต้อิทธิพลของพวกยิวอย่างหนัก กำลังสร้างเฮลีย์ให้กลายเป็นรัฐสตรีผู้มีวิสัยทัศน์
ดามัสกัสและเตหะราน (และมอสโก) จะยินยอมไปอีกยาวไกลแค่ไหน ในการปล่อยให้อิสราเอลพยายามทำให้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายนี้ของตนกลายเป็นความจริงขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่ยังต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป เนื่องจากว่าเมื่อวิเคราะห์กันอย่างถึงที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงใหม่ๆ ในภาคสนาม ทั้งนี้มีสัญญาณลางร้ายปรากฏให้เห็นหลายประการทีเดียวว่ากองทัพอิสราเอลกำลังเตรียมตัวที่จะกระโจนเข้าไปรุกรานซีเรีย
ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ (Hassan Nasrallah) ผู้นำของฮิซบอลเลาะห์ ได้เตือนเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนว่า
**อิสราเอลผู้เป็นศัตรูจักต้องรู้เอาไว้ว่า ถ้าพวกเขาเปิดฉากทำสงครามกับซีเรียหรือเลบานอนแล้ว มันก็ไม่มีทางทราบหรอกว่าการสู้รบยังจะคงอยู่เพียงแค่ระหว่างชาวเลบานอน-ชาวอิสราเอล หรือชาวซีเรีย-ชาวอิสราเอล นี่ไม่ได้หมายความหรอกว่าจะมีรัฐอะไรที่เข้าทำการแทรกแซงโดยตรง ทว่านี่อาจเปิดทางให้นักรบจำนวนเรือนพันเรือนหมื่น หรือกระทั่งเป็นแสนๆ คน จากตลอดทั่วทั้งโลกอาหรับและตลอดทั่วทั้งโลกอิสลามทีเดียว เข้ามาร่วมทำศึกด้วย
เครื่องบินสายลับรุ่นสำคัญที่สุดซึ่งมีอยู่ในคลังแสงของสหรัฐฯจำนวน 3 ลำ โดยเป็นเครื่องบิน อาร์ซี-135 จำนวน 2 ลำ และ พี-8 โพไซดอน ของกองทัพเรืออีก 1 ลำ ซึ่งมีความสามารถทั้งในการดักฟังและชี้แหล่งที่มาของสัญญาณวิทยุและสัญญาณเรดาร์ของข้าศึก กำลังถูกส่งออกมาสอดแนมนอกชายฝั่งซีเรียในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนต่อกับต้นเดือนกรกฎาคม ขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกัน ยูเอสเอส จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช (USS George H.W. Bush) ก็เดินทางไปยังเมืองไฮฟา ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม เพื่อการเยือนเป็นเวลา 4 วัน --ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีทีเดียวที่มีเรือบรรทุกเครื่อบินสหรัฐฯไปเยือนอิสราเอล
คำถามฉกาจฉกรรจ์จึงมีอยู่ว่า อิสราเอลจะทำได้สำเร็จในการฉวยคว้าเข้าครอบครองดินแดนผืนใหญ่ หรือว่ากลับจบลงด้วยการสร้างแนวรบฝ่ายต่อต้านอิสราเอลขึ้นมาอีกแนวรบหนึ่ง?
(เก็บความจากข้อเขียนในบล็อก Indian Punchline)
เอกอัครราชทูต เอ็ม เค ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเป็นเวลากว่า 29 ปี ในตำแหน่งต่างๆ เป็นต้นว่า เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอุซเบกิสถาน (ปี 1995-1998) และเอกอัครราชทูตอินเดียประจำตุรกี (ปี 1998-2001) ปัจจุบันเขาเขียนอยู่ในบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline) รวมทั้งเขียนให้เอเชียไทมส์เป็นประจำตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา