เอเอฟพี - เจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวว่าไม่เคยสมคบคิดกับรัสเซียเพื่อช่วยให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว พร้อมทั้งประณามพวกที่กล่าวหาตนว่ากำลังกุข่าวใส่ร้ายอย่างน่ารังเกียจ
เซสชันส์ ซึ่งถูกเรียกเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาเมื่อวันอังคาร (13 มิ.ย.) แสดงอาการโกรธเกรี้ยวที่ถูกกล่าวหาว่าเคยพบกับเจ้าหน้าที่รัสเซียแบบมีลับลมคมในหลายครั้ง และอาจจะรู้เห็นเป็นใจกับทีมงาน ทรัมป์ ที่ร่วมมือกับมอสโก
เขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ เมื่อถูกคณะผู้ไต่สวนถามว่าเคยคุยกับ ทรัมป์ เกี่ยวกับแนวทางที่ เจมส์ โคมีย์ ใช้สอบสวนคดีรัสเซียแทรกแซงเลือกตั้งบ้างหรือไม่ โดย โคมีย์ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นต้นเหตุทำให้เขาถูก ทรัมป์ สั่งปลดเมื่อเดือน พ.ค.
รัฐมนตรีวัย 70 ปีผู้นี้ประกาศจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการสอบสวนของเอฟบีไอเรื่องรัสเซีย ทว่าล่าสุดตัวเขาเองกลับกลายเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางปัญหาในฐานะบุคคลที่แนะนำให้ประธานาธิบดีปลด โคมีย์ ออก และยังถูกแฉเรื่องที่เคยพบปะกับเอกอัครราชทูตรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว
เซสชันส์ ยืนยันต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่า “ไม่เคยพบหรือสนทนากับชาวรัสเซีย” เกี่ยวกับการแทรกแซงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2016
“ผมไม่เคยรับรู้ว่ามีการสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับทีมงานทรัมป์... การกล่าวหาว่าผมมีส่วนสมคบคิด หรือรู้เห็นเป็นใจให้รัสเซียมาบ่อนทำลายประเทศของเรา ถือเป็นการกุเรื่องใส่ร้ายที่น่าตกใจและน่ารังเกียจอย่างยิ่ง”
เซสชันส์ ถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของรัฐบาลที่ถูกวุฒิสภาเรียกตัวเข้าให้ปากคำ หลังจาก โคมีย์ ออกมาทิ้งระเบิดลูกโตเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยการกล่าวหาว่า ทรัมป์ เคยกดดันเอฟบีไอให้ยุติการสอบสวนอดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ไมเคิล ฟลินน์
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง เซสชันส์ พยายามเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ส.ว. หลายคนที่กดดันให้เขาชี้แจงรายละเอียดที่ได้พูดคุยกับ ทรัมป์ โดยเขาอ้างว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นความลับของรัฐบาล
วุฒิสมาชิกเดโมแครตบางคนถึงกับออกอาการฉุนเฉียว และตำหนิ เซสชันส์ ว่าไม่ให้ความร่วมมือต่อกระบวนการสอบสวนของคองเกรส
“คุณกำลังขัดขวางการสอบสวนของคองเกรสด้วยการไม่ตอบคำถามนั้น... การนิ่งเงียบของคุณมันบอกอะไรได้มากมาย” ส.ว.มาริน ไฮน์ริช กล่าว
เซสชันส์ ตอบกลับไปว่า “ผมไม่ได้บ่ายเบี่ยง ผมแค่ปฏิบัติตามนโยบายที่มีมาแต่เดิมของกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น”
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า เซสชันส์ ตัดสินใจปลีกตัวออกจากการสอบสวนเรื่องรัสเซียตั้งแต่เดือน มี.ค.ก็เพื่อความโปร่งใส เนื่องจากเขาเคยอยู่ในทีมหาเสียงของทรัมป์มาก่อน แต่ โคมีย์ กลับให้การเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เอฟบีไอรู้ข้อมูลอะไรบางอย่างที่จะทำความยุ่งยากให้แก่ เซสชันส์ หากเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสอบสวน
เซสชันส์ โต้กลับอย่างเผ็ดร้อนว่า “ไม่มีสักหน่อย ผมยืนยันได้เลย”
หลังจาก โคมีย์ ถูกปลดไปแค่เดือนเศษๆ ก็เริ่มมีข่าวกระเซ็นกระสายว่า ทรัมป์ อาจจะสั่งปลด โรเบิร์ต มุลเลอร์ อดีต ผอ.เอฟบีไอที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็น “ที่ปรึกษาพิเศษ” คอยกำกับดูแลการสอบสวนเรื่องรัสเซียอีกคนหนึ่ง
เซสชันส์ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น โดยกล่าวแต่เพียงว่า ตนมีความเชื่อมั่นในตัว มุลเลอร์ และจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวหากมีความพยายามปลดที่ปรึกษาพิเศษรายนี้
เขายืนยันด้วยว่า ตั้งแต่ปลีกตัวออกจากการสอบสวนของเอฟบีไอ “ผมก็ไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย” นอกเหนือไปจากสิ่งที่สื่อนำมารายงาน
สำหรับข้อครหาที่ว่าเขาเคยพบเจ้าหน้าที่รัสเซียอย่างลับๆ ระหว่างเป็นที่ปรึกษาแคมเปญหาเสียงให้ทรัมป์นั้น เซสชันส์ยืนยันว่าตนได้เปิดเผยเรื่องการพบปะ 2 ครั้งกับเอกอัครราชทูต เซียร์เก คิลส์ยัก เมื่อปีที่แล้ว ส่วนครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ปี 2016 ที่โรงแรมเมย์ฟลาวเวอร์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
เซสชันส์ยังปฏิเสธคำพูดของโคมีย์ ที่ว่า เขาในฐานะรัฐมนตรียุติธรรมไม่ได้ให้การปกป้องผอ.เอฟบีไอจากการถูกกดดันทางการเมือง
โคมีย์ เล่าว่า หลังปิดประชุมเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ประธานาธิบดีได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคน รวมถึง เซสชันส์ ออกไปจากห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ยกเว้น โคมีย์ เพียงคนเดียว จากนั้น ทรัมป์ จึงใช้โอกาสที่อยู่กันตามลำพังพูดหว่านล้อม โคมีย์ ให้หยุดเล่นงาน ไมเคิล ฟลินน์
เซสชันส์ยอมรับว่า โคมีย์ได้มาบอกกับตนภายหลังว่ารู้สึกไม่สบายใจที่ถูกทิ้งให้อยู่กับประธานาธิบดีสองต่อสอง แต่เนื่องจาก โคมีย์ ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง ตนจึงไม่อาจทราบได้ว่าบทสนทนาครั้งนั้นมีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือไม่