เอเอฟพี/รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ จิม แมตทิส บอกกับสมาชิกรัฐสภาในวันจันทร์ (12 มิ.ย.) ว่า เขารู้สึก “ช็อก”กับสภาพความไม่พร้อมสู้รบของทหารอเมริกันในเวลานี้ และประณามว่าสาเหตุมาจากกฎหมายกำหนดเพดานงบประมาณกลาโหม ตลอดจนสงครามโดยเฉพาะในอัฟกานิสถานที่ต้องใช้จ่ายอย่างสูงลิ่วในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันเขากล่าวเตือนด้วยว่าในเวลานี้เกาหลีเหนือได้กลายเป็นภัยคุกคามเร่งด่วนที่สุดต่อสันติภาพและความมั่นคงไปแล้ว
แมตทิสชี้ไปที่กฎหมายกำหนดเพดานการใช้จ่ายงบประมาณด้านกลาโหมในยุคของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งเป็นที่รู้จักเรียกขานในชื่อว่า “การยึดทรัพย์ทางงบประมาณ” (budget sequestration) และบอกว่าการจำกัดงบประมาณทางทหารอย่างต่อเนื่องหลายปีเช่นนี้ ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ตกอยู่ในความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งปิดกั้นการดำเนินโครงการใหม่ๆ ที่ทรงความสำคัญ ถึงแม้งบประมาณกลาโหมของสหรัฐฯปัจจุบันในแต่ละปียังคงมีจำนวนเป็นอันดับ 1 ของโลก อีกทั้งยังคงสูงกว่างบประมาณของอีก 7 ประเทศอันดับถัดๆ ลงมารวมกันก็ตามที
“ผมเกษียณอายุจากราชการทหาร 3 เดือนก่อนที่มาตรการการยึดทรัพย์(ทางงบประมาณ) เริ่มมีผลบังคับใช้” แมตทิสซึ่งเป็นอดีตนายพลเอกเหล่านาวิกโยธิน แถลงต่อคณะกรรมาธิการการทหารของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
“อีก 4 ปีต่อมา เมื่อผมกลับมายังกระทรวง (กลาโหม) ผมรู้สึกช็อกต่อสิ่งที่ผมพบเห็นเกี่ยวกับความพร้อมที่จะสู้รบของเรา … ไม่มีข้าศึกในสนามที่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ความพร้อมของทหารของเราได้มากกว่าการยึดทรัพย์ (ทางงบประมาณ) อีกแล้ว”
ทั้งนี้ มาตรการการยึดทรัพย์ทางงบประมาณ ซึ่งหลักการสำคัญคือกำหนดให้ตัดลดงบประมาณกลาโหมและงบประมาณที่ไม่ใช่ด้านกลาโหมลงมาฝ่ายละเท่าๆ กัน ได้ถูกนำมาบังคับใช้ภายหลังจากสมาชิกรัฐสภาพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันไม่สามารถประนีประนอมกันได้ในเรื่องการตัดลดยอดขาดดุลงบประมาณที่กำลังบานปลายใหญ่โตขึ้นทุกที
แมตทิสเดินทางมาแถลงต่อคณะกรรมาธิการซึ่งกำลังต้องการข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยื่นเสนอร่างงบประมาณประจำปี 2018
ทรัมป์นั้นต้องการตัดลดรายจ่ายของกระทรวงการต่างประเทศลงเป็นจำนวนมาก แต่จะเพิ่มงบประมาณด้านต่างๆ อย่างกว้างขวางแก่กระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) ถึงแม้ยังคงไม่ถึงระดับให้ใช้จ่ายกันได้อย่างโลดลิ่วเป็นประวัติการณ์ดังที่พวกรีพับลิกันซึ่งมีแนวคิดสายเหยี่ยวยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีกมุ่งหวังแสวงหา
ทั้งนี้เพนตากอนเรียกร้องขอยอดใช้จ่ายในรายการกลาโหมทั่วไปรวมเป็นมูลคา 574,000 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มเติมด้วยรายการใช้จ่ายยามสงครามอีก 65,000 ล้านดอลลาร์ รวมแล้วก็เป็น 639,000 ล้านดอลลาร์
นี่เท่ากับเพิ่มขึ้นมากว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 10% จากยอดใช้จ่ายสำหรับงบประมาณระดับฐานของปี 2017 ถึงแม้จำนวนนี้ยังคงสูงขึ้นเพียงประมาณ 3% เหนือระดับการคาดการณ์ซึ่งคณะบริหารโอบามาเคยมองเอาไว้
ส.ส.แมค ธอร์นเบอร์รี ประธานของคณะกรรมาธิการ ตลอดจนชาวรีพับลิกันคนอื่นๆ พากันคร่ำครวญว่าการเพิ่มขึ้นขนาดนี้ยังคงไม่เพียงพอ เมื่อคำนึงถึงช่วงเวลาหลายๆ ปีที่งบประมาณกลาโหมถูกจำกัด
แม้ ส.ส.พรรคเดโมแครตจำนวนมากในคณะกรรมาธิการชุดนี้จะเห็นพ้องด้วยกับทัศนะดังกล่าว ทว่าพวกเขาก็แสดงความกังวลว่าจะหาเงินจากไหนมาจับจ่าย เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าคณะบริหารทรัมป์เวลานี้กำลังกดดันให้มีการตัดลดอัตราภาษีลงด้วยซ้ำ
อัฟกานิสถานและเกาหลีเหนือ
แมตทิสพูดถึงสงครามในอัฟกานิสถาน ซึ่งลากยาวมาตั้งแต่ปลายปี 2001 โดยที่ยังมองไม่เห็นว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงลิ่วจริงๆ
การสู้รบทำศึกเช่นนี้ “ทำให้ยุทโธปกรณ์ของเราอ่อนเปลี้ยหมดแรงอย่างรวดเร็วกว่าที่วางแผนกันเอาไว้ รัฐสภาและกระทรวง (กลาโหม) สามารถที่จะคาดการณ์ได้ถึงความสึกหรอสะสมสืบเนื่องจากการใช้สู้รบอย่างต่อเนื่องมาเป็นหลายๆ ปี” เขากล่าว
พวกสมาชิกรัฐสภาเฝ้าซักถามแมตทิสซ้ำแล้วซ้ำอีกเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับอัฟกานิสถาน รวมทั้งเรื่องที่ว่าทรัมป์จะเพิ่มกำลังทหารเข้าไปอีกหลายพันคนหรือไม่เพื่อช่วยเหลือหุ้นส่วนชาวอัฟกันในการพลิกผันสภาพชะงักงันที่กำลังดำเนินอยู่ในการต่อสู้กับพวกกบฎตอลิบาน
“เราจำเป็นที่จะต้องทำสิ่งต่างๆ อย่างแตกต่างออกไปจากเดิม” แมตทิสยอมรับโดยเสริมว่า ยุทธศาสตร์ที่จะใช้ในอัฟกานสถานควรต้องใช้วิธีเข้าถึงปัญหาแบบคำนึงถึงทั่วทั้งภูมิภาค แทนที่จะมองเฉพาะแต่อัฟกานิสถานเพียงประเทศเดียว
เขาบอกด้วยว่าเขาจะยื่นเสนอทางเลือกต่างๆ ว่าด้วยอัฟกานิสถาน ให้ทรัมป์ตัดสินใจใน “เร็ววันนี้”
ก่อนหน้ามาให้ปากคำเป็นเวลา 4 ชั่วโมงในครั้งนี้ แมตทิสได้ส่งคำแถลงล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งเขาเตือนว่าเวลานี้เกาหลีเหนือทำท่ากลายเป็นภัยคุกคามเร่งด่วนที่สุดต่อสันติภาพและความมั่นระหว่างประเทศ และเรียกโครงการอาวุธของระบอบปกครองโสมแดงว่า เป็น “ภัยพิบัติชัดแจ้งอันอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ” สำหรับทุกๆ ฝ่าย
ในคำแถลง รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯบอกว่าเปียงยางกำลังเพิ่มทั้งความเร็วและขนาดขอบเขตของโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของตน โดยที่ผู้นำ คิม จองอึน ต้องการให้เกาหลีเหนือมีศักยภาพที่จะยิงระเบิดนิวเคลียร์ไปถึงดินแดนสหรัฐฯ
“พฤติการณ์ยั่วยุของระบอบปกครองนี้ ซึ่งกระทำอย่างผิดกฎหมายระหว่างประเทศ มิได้บรรเทาเบาบางลงไปเลย ทั้งๆ ที่เผชิญการตำหนิวิจารณ์อย่างรุนแรงและการลงโทษคว่ำบาตรของสหประชาชาติ” แมตทิสกล่าวในคำแถลง
อย่างไรก็ตาม ทั้งแมตทิส และ พล.อ.โจ แดนฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม ซึ่งไปร่วมให้ปากคำกับคณะกรรมาธิการด้วย ต่างกล่าวว่า การใช้การปฏิบัติการทางทหารใดๆ เพื่อเล่นงานเกาหลีเหนือ จะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องที่สร้างความวิบัติหายนะให้แก่คาบสมุทรเกาหลี
“มันจะกลายเป็นสงครามที่ไม่มีอะไรเหมือนกับสิ่งซึ่งเราเคยได้เห็นมานับตั้งแต่ปี 1953 และเราจะต้องจัดการรับมือกับมัน ต้องใช้ระดับขนาดของกำลังเท่าใดก็ได้ตามที่จำเป็น … มันจึงจะเป็นสงครามที่หนักหนาสาหัสเป็นอย่างยิ่ง” แมตทิสกล่าว
ทั้งนี้สงครามเกาหลีระหว่างเกาหลีเหนือและใต้ โดยที่มีสหรัฐฯอยู่ฝ่ายโสมขาวและจีนเข้าข้างโสมแดงนั้น เกิดการสู้รบกันอยู่นาน 3 ปีจนกระทั่งหยุดยิงกันไปในปี 1953 เฉพาะความเสียหายของฝ่ายเกาหลีใต้ คือ ทหารถูกสังหารไป 140,000 คน ทหารอเมริกันตาย 36,000 คน และพลเรือนโสมขาวเสียชีวิตราว 1 ล้านคน
“การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจใหญ่”
นายใหญ่เพนตากอนยังเตือนด้วยว่า โลกอาจหวนกลับไปสู่ “การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจใหญ่” เมื่อพวกประเทศอย่างเช่นรัสเซียและจีนแสดงความแข็งกร้าวยืนกรานทางการทหารมากขึ้น และทำให้พิธีการด้านความมั่นคงของทั่วโลกซึ่งยึดถือกันมายาวนานตกอยู่ในความเสี่ยง
“ทั้งรัสเซียและจีนต่างคัดค้านด้านที่สำคัญๆ ในระเบียบระหว่างประเทศปัจจุบัน ซึ่งสร้างขึ้นมาด้วยพากเพียรพยายามอย่างยิ่งนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง” เขากล่าว
ในส่วนที่เกี่ยวกับรัสเซียนั้น แมตทิสบอกด้วยว่า เวลานี้เขามองไม่เห็นเครื่องบ่งชี้ใดๆ เลยว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับสหรัฐฯ ถึงแม้ทั้งสองประเทศอาจเดินไปถึงจุดนั้นได้ด้วยการมองหาสิ่งที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานร่วมกัน
“แต่ ณ จุดนี้ เขาเลือกที่จะเป็นคู่แข่งขัน เป็นคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์กับเรา และเราก็จะต้องรับมือกับสิ่งที่เรามองเห็นว่าเป็นเช่นนั้น” แมตทิสกล่าว